วันศุกร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2561

จังหวัดอิวาเตะ


จังหวัดอิวาเตะ


จังหวัดอิวาเตะ (ญี่ปุ่น: 岩手県 Iwate-ken) เป็นจังหวัดหนึ่งของประเทศญี่ปุ่น ตั้งอยู่ในภูมิภาคโทโฮะกุ (東北地方 Tōhoku-chihō) หรือภาคตะวันออกเฉียงเหนือ บนเกาะฮนชู (本州 Honshū) มีเมืองเอกคือ เมืองโมริโอกะ (盛岡市 Morioka-shi)

สัญลักษณ์ของจังหวัดอิวาเตะ


มาสคอตประจำจังหวัด

ชื่อ วังโกะเคียวได Wanko Kyodai

ภูมิศาสตร์

มีชายฝั่งทะเลที่ทอดตัวยาวพร้อมด้วยผลิตภัณฑ์ทางทะเลมากมาย อาหารทะเลที่สุดวิเศษและชายฝั่งที่หยักเป็นฟันเลื่อยถูกโอบล้อมด้วยหน้าผา
จังหวัดอิวะเตะเป็นจังหวัดที่มีพื้นที่เป็นผืนดินที่ใหญ่ที่สุดในจังหวัดต่างๆ ของญี่ปุ่น ตั้งอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของเกาะใหญ่ของญี่ปุ่น โดยฝั่งตะวันออกหันหน้าไปทางมหาสมุทรแปซิฟิก ทางตอนเหนือของชายฝั่งมีหน้าผาที่ถูกกัดเซาะโดยน้ำทะเลและหาดทราย ความแตกต่างระหว่างหน้าผาที่เปี่ยมไปด้วยพลังที่ทอดตัวยาวและชายหาดโจโด-งะ-ฮามะที่เงียบสงบในเมืองมิยาโกะคือความงดงามที่อลังการ ทางใต้เป็นชายฝั่งที่มีแนวหยักเป็นฟันเลื่อยพร้อมด้วยปากน้ำจำนวนมากมาย เผยให้เห็นทิวทัศน์ที่แตกต่างกันไปจากเหนือจรดใต้
ชายฝั่งแนวยาวที่ได้รับพรให้มีท่าเรือที่ดีตามธรรมชาติ ก่อให้เกิดท่าเรือประมงที่อุดมไปด้วยผลิตภัณฑ์ทางทะเลที่ถูกนำขึ้นฝั่งได้ตลอดทั้งปี และมีร้านอาหารจำนวนมากในบริเวณใกล้เคียงที่คุณสามารถเพลิดเพลินไปกับอาหารทะเลสดๆ เช่น หอยเชลล์, หอยนางรม และเม่นทะเลได้
มีป่าดึกดำบรรพ์บนภูเขาอิวะเตะ-ซังและที่ราบสูงอัปปิที่ทอดยาวจากที่ราบสูงฮาชิมันไต ซึ่งทั้งหมดนี้รวมกันเป็นเทือกเขาโออุที่ทอดตัวไปตามแนวเขตแดนของจังหวัดอิวะเตะและอาคิตะ โดยที่คุณสามารถเพลิดเพลินไปกับกิจกรรมกลางแจ้งต่างๆ เช่น การเล่นสกีเช่นเดียวกับออนเซ็นหรือน้ำพุร้อนได้

นอกจากนี้ คุณยังสามารถสัมผัสกับวัฒนธรรมชนบทและประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่นในสถานที่ อย่างเช่น ฮานามากิ ซึ่งมีสนามบินเพียงแห่งเดียวในจังหวัดและเป็นที่รู้จักกันในฐานะของรีสอร์ทน้ำพุร้อน โมริโอกะจุดศูนย์กลางของจังหวัดได้รับการพัฒนาให้เป็นเมืองแห่งปราสาท และฮิราอิซุมิที่มีสมบัติของชาติ, สมบัติทางวัฒนธรรมที่สำคัญ และซากปรักหักพังทางประวัติศาสตร์มากมาย เช่น ชูซอน-จิ คอนจิคิโด (วัดชูซอน-จิ, หอทองคำ)

การปกครอง

ผู้ว่าราชการ : ฮิโรยะ มาซึดะ

พื้นที่

ทั้งหมด 15,278.40 ตร.กม. (5,899.02 ตร.ไมล์)
อันดับพื้นที่ 2 ของประเทศ

ประชากร 

ทั้งหมด 1,374,530 ล้านคน
อันดับ 30 ของประเทศ

ดอกไม้

Paulownia tree (Paulownia tomentosa)

ต้นไม้

Nanbu red pine (Pinus densiflora)

เศรษฐกิจ

เศรษฐกิจของจังหวัดนี้ คืออุตสาหกรรมรอบโมะริโอกะและการทำการคมนาคม

10 สุดยอดสถานที่ท่องเที่ยวใน “อิวาเตะ”

1. วัดชูซอนจิ (中尊寺)


วัดชูซอนจิ เมืองฮิราอิซูมิ คือ ที่ตั้งของพลับพลาสีทองอร่าม ซึ่งใช้เป็นที่เก็บเถ้ากระดูกของตระกูล
ฟูจิวาระถึงสามสมัยด้วยกัน  อีกทั้งยังได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นหนึ่งในมรดกโลกของประเทศญี่ปุ่น  เนื่องจากสมัยก่อนที่วัดแห่งนี้เคยมีเจดีย์มากกว่าสิบหลัง ทว่าสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 กลับถูกทำลายลงอย่างไม่เหลือซาก แต่ถึงแม้ปัจจุบันจะเหลือสถาปัตยกรรมอยู่ไม่มาก ที่นี่ก็ยังคงความงดงามให้ท่านได้ชมกัน ไม่ว่าจะเป็น วิหารใหญ่ฮอนโดะ วิหารเก่าแก่ที่เหลืออยู่เพียงหลังเดียวของวัด เพื่อนๆสามารถเข้ามาสักการะพระพุทธรูปเก่าแก่ภายในวิหารแห่งนี้ได้ หรือจะเดินชมความงามของวิหารทองคำคอนจิคิโดะ ซันโกโสะ ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์เก็บสมบัติของตระกูลฟุจิวาระ และหากเพื่อนๆคนไหนมาช่วงวันที่ 1-5 พฤษภาคม หรือ 
1-3 พฤศจิกายน ซึ่งตรงกับเทศกาลฟูจิวาระ ท่านจะได้ชมการแสดงละครหน้ากากโน การแสดงพื้นบ้านอันเก่าแก่ของญี่ปุ่นที่หาชมได้ยาก
วัดชูซอนจิเปิดทำการทุกวันตั้งแต่เวลา 8.30-17.00 น. สำหรับผู้ใหญ่ค่าเข้าชมคนละ 800 เยน นักเรียนมัธยมปลาย 500 เยน นักเรียนมัธยมต้น 300 เยน นักเรียนประถม 200 เยน 
วิธีการเดินทางจากสถานี JR Hiraizumi เพื่อนๆสามารถเดินจากสถานีมาถึงที่วัดได้เลย ใช้เวลาประมาณ 25 นาที หรือเช่าจักรยานบริเวณสถานีก็ได้

2. เมืองโมริโอกะ (盛岡)


เมืองโมริโอกะ คือ เมืองหลวงของจังหวัดอิวาเตะ ที่ถูกล้อมรอบไปด้วยภูเขา และเมื่อมาถึงที่นี่ เพื่อนๆต้องไม่พลาดทานก๋วยเตี๋ยวขึ้นชื่อของจังหวัดโมริโอกะ อย่างวังโกะโซบะ ก๋วยเตี๋ยวเรเมน และ จาจาเมน ซึ่งสามารถหาได้ตามร้านอาหารทั่วเมืองโมริโอกะเลยละ นอกจากนี้เพื่อนๆยังสามารถเดินชมซากปราสาทโมริโอกะ และ พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์เกี่ยวกับวัฒนธรรมประจำเมืองโมริโอกะ ที่สวนสาธารณะปราสาทโมริโอกะได้ด้วย อีกทั้งที่นี่ยังเป็นหนึ่งในสถานที่ชมดอกซากุระของชาวเมืองโมริโอกะอีกด้วย ยิ่งในช่วงฤดูหนาว ที่นี่ก็มีการจัดเทศกาลหิมะเมืองโมริโอกะ ทั้งการประกวดงานปั้น แกะสลักหิมะเป็นรูปร่างต่างๆ โคมเทียนหิมะ ประดับไฟหลากสี สร้างความประทับใจให้กับนักท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก หากท่านมีโอกาสมาช่วงต้นเดือนสิงหาคม อย่าพลาดชมเทศกาล Sansa Odori  เพื่อนๆสามารถเข้ามาร่วมขบวนเต้นวนรอบเมืองได้ด้วย มีพาเหรดปิดท้ายงานอันยิ่งใหญ่ด้วยละ
การเดินทางภายในเมืองโมริโอกะ เพื่อนๆสามารถนั่งรถ Dendenmushi Loop Bus ซึ่งวิ่งวนรอบเมืองโมริโอกะ เที่ยวละ 100 เยน หรือจะเดินเล่น ปั่นจักรยานก็ย่อมได้ เพราะสถานที่ท่องเที่ยวหลักๆภายในเมืองอยู่ไม่ไกลกันมาก ค่าเช่าจักรยานชั่วโมงแรก 100 เยนและบวกเพิ่มอีก 100 เยนทุกๆ 30 นาที

3. ฟาร์มโคอิวาอิ (小岩井農場)


ฟาร์มโคอิวาอิ เป็นฟาร์มเลี้ยงสัตว์ขนาดใหญ่ในจังหวัดอิวาเตะ ที่ยังคงสภาพแวดล้อมธรรมชาติ และส่งออกผลิตภัณฑ์คุณภาพเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็นไข่ไก่ เนื้อวัว เนื้อแกะ เนยสด โยเกิร์ต นอกเหนือจากการเลี้ยงสัตว์และการทำการเกษตรกรรมแล้ว ยังมีกิจกรรมขี่ม้า ยิงธนู เก็บผัก ผลไม้ในฟาร์ม อบพิซซ่าสดๆ และกิจกรรมอื่นๆอีกด้วย เมื่อเพื่อนๆมาถึงที่นี่ต้องไม่พลาดที่จะชิมนมสดๆ ซอฟต์ครีมนุ่มๆ แยมหวานๆ และผลิตภัณฑ์อื่นๆจากฟาร์ม นอกจากนี้ที่นี่ยังเป็นสถานที่ในการจัดงานเทศกาลหิมะอิวาเตะด้วย โดยในงานจะมีการจัดแสดงตุ๊กตาหิมะรูปแบบต่างๆ และบ้านหิมะคามาคุระให้เพื่อนๆได้เข้ามาเดินชม รวมถึงงานประดับไฟมากกว่า1ล้าน3แสนดวง เป็นฉากที่สวยงามอลังการสุดๆไปเลยละค่ะ ซึ่งแต่ละปีก็จะมีการจัดธีมที่แตกต่างกัน ถือเป็นงานอิลูมิเนชั่นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในภูมิภาคโคโฮคุเลยละ
สำหรับที่นี่เปิดให้บริการตั้งแต่เวลา 9.00 – 17.30 น. และปิดให้บริการในวันพฤหัสบดีของสัปดาห์ที่ 2 ในเดือนเมษายน ผู้ใหญ่เสียค่าเข้าชมคนละ 600 เยน ส่วนเด็กๆ เสียคนละ 300 เยน งานอิลูมิเนชั่นในฤดูหนาวจะจัดในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน – ต้นเดือนมกราคม ตั้งแต่เวลา 16.00 – 20.00  น. 
การเดินทาง เพื่อนๆสามารถขึ้นรถบัสที่หน้าสถานีโมริโอกะ แล้วต่อรถบัสหมายเลข10 ที่ผ่านฟาร์มโคอิวาอิ มาอิคิบาเอ็น หรือ สึนะโชยุ ออนเซ็น

4. ศูนย์อามะแห่งชายฝั่งโคโซเดะ (小袖海女センター)


สำหรับแฟนละครญี่ปุ่น เรื่องอามะจัง คงจะเคยเห็นศูนย์อามะ เมืองคุจิ มาบ้างในหลายๆฉาก อามะ คือ นักดำน้ำที่ไม่ใช้เครื่องช่วยหายใจ ถือเป็นอาชีพดั้งเดิมของจังหวัดอิวาเตะ ที่สำคัญคือเป็นผู้หญิงด้วย 
บวกกับสภาพภูมิศาสตร์ที่ติดกับทะเล อิวาเตะจึงเป็นอีกหนึ่งจังหวัดที่ขึ้นชื่อเรื่องอาหารทะเล โดยเฉพาะหอยเป๋าฮื้อ และหอยเม่น ดังนั้นเมื่อมาถึงที่นี่ ท่านจะได้ชมโชว์ดำน้ำแบบอามะ ซึ่งเป็นการโชว์งมหอยเม่นประมาณ 10 ตัว ต้องดำลงไปลึกกว่า 10 เมตร แต่โชว์หอยเม่นนั้นสามารถดูได้แค่ช่วงเดือนกรกฎาคม – เดือนกันยายนเท่านั้น และในวันอาทิตย์ของเดือนสิงหาคม ที่เมืองคุจิจะมีเทศกาล The Northernmost Ama Festival ที่จัดขึ้นบริเวณท่าเรือ Kosode Fising Post แน่นอนว่าท่านจะได้ดูโชว์การดำน้ำ การแสดงพื้นบ้านด้วย รวมถึงหอยเชลล์ย่างร้อนๆ อาหารทะเลสดๆ เมนูเด็ดประจำเมือง ที่เวลาดูละครเรื่องนี้แล้วจะโผล่มายั่วน้ำลายเราบ่อยๆ นั่นก็คือ ข้าวหน้าไข่หอยเม่น นั่นเอง
สำหรับใครที่ต้องการชมการแสดงดำน้ำที่ศูนย์อามะแห่งชายฝั่งโคโซเดะ ท่านสามารถชมได้ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 9.00 – 18.00 น. ค่าเข้าชมคนละ 500 เยน แต่ถ้าอยากชมโชว์หอยเม่นต้องมาช่วงกรกฏาคม – กันยายานเท่านั้น 
การเดินทางเพื่อนๆสามารถนั่ง JR Hachinohe Line มาลงที่สถานี Kuji

5. ช่องเขาเกบิเคอิ (猊鼻溪)


เปลี่ยนบรรยากาศมาล่องเรือสัมผัสธรรมชาติที่ช่องเขาเกบิเคอิ พร้อมจิบชาไปตลอดสองข้างทางในช่วงฤดูร้อน หรือจะชมใบไม้เปลี่ยนสีในช่วงฤดูใบไม้ร่วง แม้แต่ช่วงฤดูหนาวเพื่อนๆก็ยังสามารถนั่งเรือชมทัศนียภาพโดยรอบที่ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ แถมยังมีการติดตั้งหลังคากันหิมะ และฮีทเตอร์รวมถึงโต๊ะโคทัตสึ พร้อมหม้อสุกี้คอยให้บริการคลายหนาวกันด้วย ในขณะที่ล่องเรือก็จะมีเจ้าหน้าที่คอยอธิบายเป็นภาษาญี่ปุ่น แต่เพื่อนๆคนไหนไม่เข้าใจก็สามารถอ่านภาษาอังกฤษจากโบรชัวร์ได้ นอกจากนี้ท่านยังสามารถแวะชมถ้ำบิชาม่อน ที่เชื่อกันว่าเป็นที่อยู่ของเทพเจ้าขุมทรัพย์ และจมูกราชสีห์ ที่มาของชื่อเกบิเคอินั่นเอง หากใครสามารถโยนหินเล็กๆที่ชื่ออุนดามะเข้าไปในรูบนหน้าผาได้ เชื่อกันว่าคำอธิษฐานจะเป็นจริง
ท่านที่สนใจล่องเรือชม สามารถใช้บริการได้ตั้งแต่เวลา 8.30-16.30 น.หากวันไหนมีอากาศแปรปวนจะหยุดให้บริการทันที ค่าใช้จ่ายผู้ใหญ่ 1,600 เยน เด็ก 860 เยน ใช้เวลาล่องเรือประมาณ 90 นาที 
วิธีเดินทางจาก Hiraizumi นั่ง JR Tohoku Line แล้วลงที่ Ichinoseki แล้วเปลี่ยนไปนั่ง JR Ofunato Line ไปยัง Geibikei Station แล้วเดินต่ออีกนิดหน่อย

6. เอปพิ โคเกนรีสอร์ท ( 安比高原スキー場)


ที่นี่คือสวรรค์ของคนรักสกี เอปพิ โคเกนรีสอร์ท สกีรีสอร์ทชั้นนำของภูมิภาคโทโฮคุ ถือเป็นสกี
รีสอร์ทที่ใหญ่ที่สุดเลยก็ว่าได้ เพราะมีเส้นทางสกีกว่า 45.1 กิโลเมตร ท่านสามารถท้าทายความสามารถของตนเองไปกับการเล่นสกีหรือ สโนว์บอร์ด ที่ Salomon Snow Park หรือถ้าใครมาเป็นครอบครัวก็สามารถสนุกสนานไปกับหิมะ และกิจกรรมที่เหมาะสำหรับทุกคนในครอบครัวได้ที่ APPI Family Park แถมที่นี่ยังมีบริการให้เช่าอุปกรณ์ อีกทั้งยังมีร้านค้า ร้านอาหาร ให้เลือกมากมาย ถ้าท่านเล่นสกีไม่เป็นละก็หมดห่วงได้เลย เพราะที่นี่มีโรงเรียนสอนสกีคอยให้บริการด้วย หากท่านอยากใช้เวลาอยู่ที่นี่นานๆก็สามารถนอนพักได้ที่ Hotel Appi Grand ซึ่งหากพักที่นี่ละก็จะได้รับประทานอาหารในโดมหิมะด้วยละ อีกทั้งยังได้ผ่อนคลายไปกับการอาบน้ำพุร้อนในร่มและกลางแจ้งด้วย
เอปพิ โคเกนรีสอร์ท มีค่าใช้จ่ายแบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ 5,400 เยน สำหรับเล่นทั้งวัน และ 5,100 เยน สำหรับครึ่งวัน ถ้าเป็นช่วงตอนกลางคืนตั้งเวลา 16.00-20.00 น. 2,500 เยน ค่าเช่าสำหรับยืมอุปกรณ์สกี 5,200 เยน, บอร์ด 5,200 เยน และเสื้อผ้า 4,100 เยน 
การเดินทางจาก Morioka Station เพื่อนๆสามารถนั่งรถบัสมาถึงที่นี่ได้เลย หรือจะนั่งรถไฟจาก Morkioka Station ไปลงที่ Appi Kogen Station ซึ่งห่างจากสกีรีสอร์ทประมาณ 3 กิโลเมตร

7.  ถ้ำริวเซ็นโด (龍泉洞)


หนึ่งใน Unseen  Japan ถ้ำหินปูนที่ยาวที่สุดในญี่ปุ่น นั่นก็คือ ถ้ำริวเซ็นโด ที่มีความยาวมากกว่า 3,100 เมตร ทว่าเปิดให้เดินชมแค่เพียง 700 เมตรเท่านั้น ภายในถ้ำท่านจะได้เห็นหินย้อยรูปร่างประหลาดที่เรียกกันว่า Moon Palace  น้ำสีฟ้าครามที่ไหลไปรวมกันเป็นทะเลสาบใต้ดิน ซึ่งที่นี่มีถึง 4 แห่งด้วยกัน แถมที่นี่ยังมีสะพานให้เพื่อนๆเดินสำรวจกันด้วย หากมองจากสะพานข้างบนน้ำจะสะท้อนแสงเป็นสีฟ้าใต้ความมืดให้เราได้เห็นกันด้วย เนื่องจากน้ำมีความใสสะอาดมาก จึงมีการติดไฟใต้น้ำเพื่อให้น้ำสะท้อนแสงสีน้ำเงินออกมา จนกลายเป็นที่รู้จักกันในนาม Dragon Blue นอกจากนี้ตลอดระยะทางในการเดินเข้าไปในถ้ำ ท่านยังสามารถมองเห็นค้างคาวหลากหลายสายพันธุ์ที่อาศัยอยู่บริเวณเพดานถ้ำได้ด้วย อีกทั้งท่านยังสามารถจิบน้ำแร่ที่เชื่อกันว่าเมื่อได้ดื่มแล้วจะมีอายุยืนยาวไปอีก 3 ปี
ถ้ำริวเซ็นโดเปิดให้เข้าชมตั้งแต่เวลา 8.30-18.00 น. โดยผู้ใหญ่เสียค่าเข้าชม 1,000 เยน  เด็กนักเรียนคนละ 500 เยน 
วิธีเดินทางจากสถานี JR Morioka Station เพื่อนๆสามารถนั่งรถบัส JR Bus Tohoku ที่มุ่งหน้าไปยัง Ryusendo ได้เลย

8. ชายฝั่งทะเลคิตะยามาซากิ (北山崎展望台)


ท่านสามารถสัมผัสธรรมชาติ และชมวิวของทะเลคิตะยามาซากิได้ที่แหลมแห่งนี้ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติซังริคุ ที่มีการอนุรักษ์สัตว์น้ำและพืชพันธุ์บริเวณชายฝั่ง หากลองทอดสายตาออกไปจะพบหน้าผาสูงเรียงรายมากมาย ที่มีความสูงประมาณ 150 – 200 เมตร เล่นเอาคนที่มีใจรักในการปีนเขาชีพจรเท้าเต้นตุ๊บๆเลยละค่ะ หรือถ้าใครอยากเห็นวิวชัดๆเต็มสองตา ก็ลองมาที่หอชมวิวคิตะยามาซากิได้ 
ซึ่งภายในอาคารมีทั้งหมด 3 ชั้น เพื่อนๆสามารถรับประทานอาหาร และเลือกซื้อของที่ระลึกได้ด้วย นอกจากนี้หากท่านคิดว่าหน้าผาที่นี่ยังสูงไม่จุใจ ถัดไปทางทิศใต้ประมาณ 10 กิโลเมตร มีหน้าผาอูโนซุให้ได้แวะชมวิวเพิ่มกันอีกด้วย วันไหนคลื่นลมไม่แรงมาก ท่านยังสามารถสนุกกับการล่องเรือสัปปะ ชมแนวปะการังบนน้ำตื้น และล่องเรือผ่านรูใหญ่ๆของแหลมทะเลได้อีกด้วย
หากท่านจะมาที่ชายฝั่งทะเลคิตะยามาซากิ จาก Miyako Station ให้นั่งรถไฟ Sanriku Railway Northern Line ไปลงที่ Tanohata Station แล้วนั่งแท็กซี่ต่อ แต่ทางที่ดีขออนุญาตแนะนำให้เช่ารถยนต์ส่วนตัวจะดีกว่า เพราะที่นี่ไม่มีรถบัสบริการบ่อยนัก ท่านสามารถเช่ารถยนต์ได้ที่สถานีรถไฟ Morioka Station หรือ Miyako Station ได้เลย

9. ชายหาดโจโดงาฮามะ (浄土ヶ浜)


กรวดทรายสีขาว น้ำทะเลสีฟ้าเข้ม ท้องฟ้าสีคราม และบรรยากาศเงียบสงบ ที่นี่คือชายหาดโจโดงาฮามะ เกาะสวรรค์แห่งอิวาเตะนั่นเอง ท่านสามารถว่ายน้ำชมความงามใต้ท้องทะเล หรือ ล่องเรือชมทิวทัศน์ที่มีให้เลือกถึงสองแบบด้วยกัน คือ Blue Cave Cruise ที่จะพาท่านแล่นเรือไปชมวิวโดยรอบ และ Miyako Jodogahama Boat Cruise ที่จะพาท่านไปเที่ยวชมเกาะหิน เข้าชมถ้ำสีฟ้า และแวะให้อาหารนกนางนวล นอกจากนี้บริเวณใกล้เคียงยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกอย่าง ห้องอาบน้ำ ร้านอาหาร มีการจัดนิทรรศการเล็กๆเกี่ยวกับชายฝั่งทะเล และแนะนำเส้นทางในการเดินชมชายหาดด้วย
หากท่านสนใจนั่งเรือ Blue Cave Cruise มีค่าใช้จ่ายคนละ 1,500 เยน สามารถนั่งชมได้ 20 นาที หรือถ้าเป็น Miyako Jodogahama Boat Cruise ใช้เวลา 40 นาที ในราคาเพียง 1,250 เยน เปิดทำการเวลา 8.30-17.00 น. และปิดทำการช่วงเดือนธันวาคม-กุมภาพันธ์ และกลางเดือนมกราคม-ต้นเดือนมีนาคม 
ท่านสามารถนั่งรถบัส Iwate Kenpoku Bus จากสถานีรถไฟ Miyako Station แล้วไปลงที่สถานี Jodogashima bus stop แล้วเดินต่ออีกประมาณ 10 นาที

10. สวนสาธารณะเทนโชจิ (展勝地公園)


ที่สวนสาธารณะเทนโชจิ ริมแม่น้ำคิตะคามิ คือสถานที่ชมดอกซากุระยอดนิยม ยามฤดูใบไม้ผลิของชาวเมืองคิตามิ ซึ่งเหล่าดอกซากุระมากกว่า 10,000 ต้น พร้อมใจกันบานสะพรั่งในช่วงปลายเดือนเมษายน เรียงรายตามทางยาวกว่า 2 กิโลเมตร จนกลายเป็นอุโมงค์ดอกซากุระที่สวยงาม โรแมนติกสุดๆเลยค่ะ แถมตอนต้นเดือนพฤษภาคม ท่านยังสามารถเดินชมดอกซึซึจิ หรือกุหลาบพันปีกว่า 100,000 ต้น ได้อีกด้วย ซึ่งเมื่อถึงฤดูดอกไม้ผลิ จะมีร้านอาหาร ร้านขนม รวมถึงกิจกรรมการแสดง ให้เพื่อนๆได้สนุกสนานกันด้วย  หรือใครอยากจะนั่งเรือล่องไปตามแม่น้ำคิตาคามิเพื่อชมดอกซากุระก็ได้  ถัดจากสวนสาธารณะไปนิดนึงมีหมู่บ้านพื้นเมืองมิจิโนคุ ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์จัดแสดงบ้านและ อาคารอื่นๆตามยุคสมัยของภูมิภาคโทโฮคุ 
ท่านสามารถเข้าชมภายในบ้านเพื่อเรียนรู้วิถีชีวิตดั้งเดิมได้
ท่านที่สนใจนั่งเรือชมดอกซากุระริมแม่น้ำคิตามิ มีค่าใช้จ่ายคนละ 1,000 เยน สามารถนั่งชมได้รอบละ 20 นาที ส่วนหมู่บ้านพื้นเมืองมิจิโนคุ เปิดทำการตั้งแต่เวลา 9.00-17.00 น. ท่านยังสามารถเข้าชมได้ฟรีในช่วงเทศกาลชมซากุระ นอกเหนือจากนี้ต้องเสียค่าเข้าชมคนละ 500 เยน
วิธีเดินทางจาก Kitakami Station ไปยังสวนสาธารณะเทนโชจิ ท่านสามารถเดินหรือนั่งรถบัส Iwate แล้วลงที่ป้าย Tenshoji ก็ได้


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น