วันศุกร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2561

จังหวัดมิยางิ


จังหวัดมิยางิ


จังหวัดมิยางิ (ญี่ปุ่น: 宮城県 Miyagi-ken) เป็นจังหวัดในประเทศญี่ปุ่น ตั้งอยู่ในภูมิภาคโทโฮกุของญี่ปุ่นอยู่บนเกาะฮนชู มีเซ็นไดเป็นเมืองหลวงเป็นเมืองแห่งปราสาท และหนึ่งในนั้นเป็นปราสาทที่ไดเมียวดาเตะ มาซามุเนะ เจ้าผู้ครองแคว้นโบราณเคยสร้างเอาไว้ เด่นในด้านเกษตรกรรมและการประมง และเป็นแหล่งจุดชมวิวที่สวยงามของญี่ปุ่นที่อ่าวมัตสึชิมะ
เมื่อวันที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2554 ได้เกิดแผ่นดินไหวขนาด 8.9 และคลื่นสึนามิขนาดใหญ่เข้าถล่มจังหวัดมิยางิ สร้างความเสียหายใหญ่หลวงแก่พื้นที่[1] คลื่นสึนามิดังกล่าวประมาณว่ามีความสูงอย่างน้อย 10 เมตร

สัญลักษณ์ของจังหวัดอาโอโมริ


มาสคอตประจำจังหวัด


ภูมิศาสตร์

จังหวัดมิยะงิตั้งอยู่ในภาคตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศญี่ปุ่น หันหน้าไปทางมหาสมุทรแปซิฟิก โดยมีเซนไดเป็นเมืองหลวงตั้งอยู่ในศูนย์กลาง ซึ่งขนาบด้วยแม่น้ำอาบุคุมะ-กาว่าไปทางทิศใต้ และมีแม่น้ำคิตะคามิ-กาว่าอยู่ด้านข้างไปทางทิศตะวันออก ทางด้านชายฝั่งทะเลมีชายฝั่งที่ซับซ้อนคดเคี้ยวไปทางทิศเหนือในขณะเดียวกันก็มีชายหาดอันอบอุ่นทอดตัวยาวไปยังทิศใต้จากมะทซึชิม่า และมีภูเขาสูง 1,000 เมตรที่สวยงามทอดตัวขนานไปกับพื้นที่ทางตะวันตกหรือเรียกว่าทิวเขาซาโอะ
ด้วยมิยะงิมีลักษณะทางภูมิศาสตร์ที่ซับซ้อนเหล่านี้ จึงดึงดูดนักเที่ยวเที่ยวให้เข้ามาเยี่ยมเยือนจำนวนมาก ซึ่งรวมถึงแต่ไม่จำกัดเพียงแค่มะทซึชิม่าที่รู้จักกันว่าเป็นหนึ่งในสถานที่ที่สวยที่สุดในประเทศญี่ปุ่น, ซาโอะที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ และวนอุทยานแห่งชาติมินามิ ซันริคุ คินคะซังที่ก่อให้เกิดอุทยานแห่งชาติซันริคุ ฟุคโคที่เป็นแนวฟันเลื่อย
ทั่วทั้งจังหวัดมีน้ำพุร้อนธรรมชาติโดยมีสามแห่งที่เป็นที่นิยมคือ อาคิอุ-ออนเซ็นซาคุนามิ-ออนเซ็น และนารุโกะ-ออนเซ็น ที่ให้ร่วมแบ่งปันบรรยากาศแห่งความสุขสำหรับคนในวัยต่างๆ จากน้ำพุร้อนธรรมชาติเหล่านี้
ในเมืองเซนไดเมืองแห่งอดีตปราสาท มีสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย เช่น ซุยโฮ-เดน อันเป็นหลุมฝังศพของมาซามุเนะ ดาเทะ ผู้สร้างเมืองแห่งปราสาทและซากปรักหักพังของปราสาทเซนได
เทศกาลทานาบาตะ-มัทซึริ ที่จัดขึ้นในช่วงต้นเดือนสิงหาคมยิ่งไม่ควรพลาด ในทุกๆ ปีเพียงเทศกาลนี้เทศกาลเดียวสามารถดึงดูดผู้เข้าชมมากกว่าสองล้านคนให้เดินทางมายังจังหวัดนี้

การปกครอง

ผู้ว่าราชการ : โยชิฮิโระ มุระอิ


พื้นที่

ทั้งหมด 7,285.16 ตร.กม. (2,812.82 ตร.ไมล์)
อันดับพื้นที : 17 ของประเทศ

ประชากร

ทั้งหมด 2,370,280 คน
อันดับ 15 ของประเทศ

ดอกไม้

Miyagi bush clover (Lespedeza thunbergii)
ต้นไม้
Japanese zelkova (Zelkova serrata)

เศรษฐกิจ

ถึงแม้ว่าจังหวัดมิยางิจะมีการตกปลาการเกษตรการผลิตข้าวและปศุสัตว์มากมาย แต่ก็มีความโดดเด่นเรื่องอุตสาหกรรมที่มีอยู่รอบ ๆ เมืองเซ็นได เช่น อิเล็กทรอนิกส์และอาหาร

10 สุดยอดสถานที่ท่องเที่ยวใน “มิยางิ”

1. อ่าวมัตสึชิมะ (松島)


อ่าวมัตสึชิมะ ถือเป็นอ่าวที่งดงามที่สุดในประเทศญี่ปุ่น และยังติด 1 ใน 3 ของอ่าวที่สวยที่สุดในโลกเมื่อปี 2013 ด้วย ทิวทัศน์โดยรอบของอ่าวมัตสึชิมะยังมีหมู่เกาะเล็กๆกระจายอยู่มากมายกว่า 260 เกาะ ดังนั้นเพื่อจะได้เก็บทัศนียภาพ และชมหมู่เกาะให้ได้มากที่สุด ขอแนะนำให้ท่านนั่งเรือครูซรอบเกาะ
ซึ่งแบ่งเป็นสองทางใหญ่ คือ นั่งเรือวนหมู่เกาะรอบอ่าวมัตสิชิมะ และนั่งเรือชมอ่าวมัตสึชิมะ ยาวไปถึงมารีนเกท ชิโอะกามะ เมืองชิโอกามะ นอกจากนี้ยังมีการนั่งเรือชมพระอาทิตย์ตกดิน ชมภูเขา และฤดูใบไม้ร่วง รวมถึงมีการอธิบายเป็นภาษาญี่ปุ่นและภาษาอังกฤษด้วย
การล่องเรือครูซเที่ยวชมรอบอ่าวของสมาพันธ์การล่องเรือท่องเที่ยวหมู่เกาะมัตสึชิมะเปิดให้บริการทุกวันตั้งแต่เวลา 9.00-16.00 น. ออกเรือทุกชั่วโมง ถ้าล่องเรือชมวนรอบอ่าวมัตสึชิมะ หรือรอบอ่าวมัตสึชิมะ – ชิโอะกามะ 1,500 เยน
วิธีการเดินทางจาก Matsushima Station เดินอีกประมาณ 5 นาที ก็จะถึงท่าเรือมัตสึชิมะ

2. ปากปล่องภูเขาไฟโอคามะ (御釜)


หนึ่งใน Unseen อีกแห่งหนึ่งของประเทศญี่ปุ่น นั่นก็คือปากปล่องภูเขาไฟโอคามะ ที่ตั้งอยู่บนยอดเขาซะโอะ ทว่าปากปล่องภูเขาไฟนี้น่าดึงดูดตรงที่มีทะเลสาบสีเขียวมรกตอยู่ที่ปากปล่อง ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับหม้อหุงสมัยก่อน ด้วยเหตุนี้จึงถูกเรียกว่าโอคามะ ที่แปลว่าหม้อนั่นเอง ที่สำคัญทะเลสาบแห่งนี้ในแต่ละวันจะสามารถเปลี่ยนสีได้ถึง 5 สี หรือที่รู้จักกันอีกชื่อว่า โกะชิคินุมะ และถ้าหากท่านต้องการชมปากปล่องภูเขาไฟโอคามะแบบชัดๆก็สามารถขึ้นไปยังจุดชมวิวบริเวณยอดเขาคัทตะดะเกะได้ เพื่อนๆจะมองเห็นวิวภูเขาซะโอะได้ทั้งลูก รวมถึงปากปล่องภูเขาไฟแห่งนี้ด้วย หรือจะขึ้นกระเช้าลอยฟ้ามาลงที่สถานี Jizosancho แล้วเดินต่อไปยังจุดชมวิวก็ได้ ใช้เวลาไปกลับประมาณ 1 ชั่วโมง
สำหรับค่าใช้จ่ายในการขึ้นกระเช้าลอยฟ้า เที่ยวเดียว 1,500 เยน ไปกลับ 2,600 เยน
วิธีเดินทางจากสถานี Yamagata สามารถนั่งรถบัสมายังจุดชมวิวยอดเขาคัทตะดาเกะทว่ามีแค่วันละเที่ยวเท่านั้น หรือจะนั่งรถบัสจากสถานี Shiroishi Zao มาก็ได้ แต่รถบัสสายนี้ก็มีแค่เพียง 2 เที่ยวเท่านั้น ดังนั้นขอแนะนำให้ท่านเช่ารถยนต์เพื่อความสะดวกในการเดินทางดีกว่า

3. หุบเขานารุโกะ (鳴子峡)


อีกหนึ่งสถานที่ชมเหล่าใบไม้เปลี่ยนสี ในฤดูใบไม้ร่วง ท่านจะได้เห็นใบไม้สีส้ม สีแดง สีเหลืองไล่เฉดสีกันตลอดแนวป่า โดยเฉพาะบริเวณอุโมงค์รถไฟ ที่สองข้างทางเต็มไปด้วยใบไม้เปลี่ยนสี เป็นวิวที่สวยงามควรค่าแก่การมาดูชมมาก เมื่อมาถึงที่นี่แล้วก็ต้องมาที่จุดชมวิวบริเวณหุบเขา ที่เดินเลียบขึ้นแม่น้ำอาโรงะวะขึ้นไป ท่านจะสามารถเห็นวิวอุโมงค์รถไฟที่เชื่อมกับสะพานโอะฟุคะซาวะอยู่ท่ามกลางใบไม้เปลี่ยนสี ไม่ว่าจะมองมุมไหนก็สวยกินใจมากๆ นอกจากนี้บริเวณใกล้ๆหุบเขานารุโกะ ยังมีหมู่บ้านนารุโกะ ออนเซ็น ให้ท่านได้มาแช่ตัวผ่อนคลายกันด้วย น้ำแร่ที่นี่มีความเป็นกรดสูง สามารถช่วยบรรเทาอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อสำหรับนักท่องเที่ยวที่เหนื่อยล้าจากการเดินป่าหรือปีนเขาได้ ซึ่งหมู่บ้านนารุโกะออนเซ็น เป็นหมู่บ้านออนเซ็นขนาดใหญ่ที่เก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่นเชียวนะ
วิธีเดินทางท่านสามารถนั่งรถบัสตรงข้ามสถานี Naroko Onsen แต่รถบัสวิ่งแค่ช่วงฤดูใบไม่ร่วงเท่านั้น หรือถ้าจะเดินจากสถานีไปยังหุบเขาก็ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง

4. ปราสาทอาโอบะ (青葉城)


ปราสาทอาโอบะ หรือปราสาทเซนได ที่โดดเด่นด้วยรูปปั้นของท่านดาเตะ มะซะมุเนะ ยอดซามูไรที่นำความเจริญสู่เมืองเซ็นได ผู้ก่อตั้งปราสาทแห่งนี้ เนื่องจากในสมัยก่อนปราสาทเซนไดถือเป็นป้อมปราการในการป้องกันข้าศึกได้ดี แต่ทว่าในสงครามโลกครั้งที่ 2 กลับถูกระเบิดทำลายจนย่อยยับ เหลือเพียงประตูโอเตมอน และ ศาลเจ้าโกโคขุเท่านั้น นอกจากนี้บริเวณนั้นยังมีพิพิธภัณฑ์ปราสาทอะโอบะ ที่เก็บข้าวของเครื่องใช้ในสมัยเอโดะ รวมถึงภาพยนตร์สั้นเกี่ยวกับปราสาทแห่งนี้อยู่ด้วย แถมยังสามารถชมวิวของเมืองเซนไดได้แบบ 360 องศา บริเวณลานกว้างข้างหน้าอนุสาวรีย์ท่านดาเตะ มะซะมุเนะ
สำหรับท่านที่ต้องการเข้าชมพิพิธภัณฑ์ปราสาทอาโอบะ  เปิดให้เข้าชมตั้งแต่เวลา 9.00-17.00 น.
ค่าเข้าชม 700 เยน ส่วนบริเวณศาลเจ้าโกโคขุและที่ตั้งปราสาทเก่า สามารถเข้าชมได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
การเดินทาง จากสถานีรถไฟ Sendai ท่านสามารถนั่งรถ Loople Sendai Bus แล้วลงที่ป้าย Site of Sendai Castle

5. ปราสาทชิโรอิชิ (白石城)


แม้ปราสาทชิโรอิชิจะเคยโดนไฟไหม้แต่ก็ได้รบการบูรณะสร้างใหม่ โดยใช้ฐานปราสาทเดิม และยังคงความเป็นสถาปัตยกรรมเก่าแก่ออกมาได้อย่างสวยงามสมบูรณ์แบบ ซึ่งแต่เดิมปราสาทแห่งนี้เคยเป็นของท่านคาตาคุระ ขุนพลคนสนิทของท่านดาเตะ มาซามุเนะ ซึ่งท่านได้ยกปราสาทหลังนี้ให้เพื่อตอบแทนที่เคยสู้รบเคียงคู่กันมานั่นเอง ภายในปราสาทเพื่อนๆสามารถเดินชมพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ปราสาทชิโรอิชิ ทดลองสวมชุดเกราะ หรือชุดชาวบ้านสมัยก่อน รวมถึงสินค้าพื้นเมืองและร้านขายของฝาก นอกจากนี้ถ้าเพื่อนๆมีโอกาสมาช่วงเดือนตุลาคมซึ่งตรงกับเทศกาลโอนิ คาจูโร เพื่อนๆสามารถชมการสู้รบของเหล่าซามูไรและกลุ่มนินจา พร้อมเอฟเฟกต์อลังการอย่างลูกธนูพุ่งกลางอากาศ กลุ่มควันพวยพุ่ง อาวุธในการสู้รบต่างๆ ขบวนพาเหรด พร้อมเหล่าบุคคลจากประวัตศาสตร์ ที่จำลองการรบในสมัยศตวรรษที่ 16 เป็นอะไรที่ตื่นเต้นอลังการ สมจริงมากๆเลยละค่ะ ใครมีโอกาสมาช่วงนี้ละก็อย่าพลาดชมเทศกาลนี้เชียวนะ
ปราสาทชิโรอิชิเปิดให้เข้าชมตั้งแต่เวลา 9.00 น. – 17.00 น. และปิดให้บริการช่วงวันสิ้นปี
การเดินทาง ท่านสามารถนั่ง Tohoku Shinkansen แล้วลงที่สถานี Koriyama ต่อด้วยรถไฟสาย JR Tohoku ลงที่สถานี Shirakawa แล้วเดินต่ออีกประมาณ 10 นาที

6.  สุสานซูอิโฮเดน (瑞鳳殿)


สุสานซูอิโฮเดน เป็นที่ตั้งของหลุมศพท่านดาเตะ มาซามุเนะ ซามูไรที่มีอำนาจมากที่สุดในสมัย
เอโดะ ภายในสุสานท่านจะเห็นสถาปัตยกรรม และการตกแต่งศิลปะแบบญี่ปุ่นที่หรูหราสวยงาม ตัวอาคารเป็นโครงสร้างงานไม้สีดำที่แกะสลักและทาสีสันให้สดใสดึงดูดนักท่องเที่ยวได้เป็นอย่างมาก รวมถึงมีการจัดนิทรรศการเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของตระกูลดาเตะให้ชมด้วย ในละแวกเดียวกันนั้นยังมีการสร้างสุสานขึ้นอีกสองหลัง เป็นสุสานที่เพิ่งถูกสร้างขึ้นมาใหม่ ทั้งสองสุสานนี้เป็นสุสานทายาทที่ได้รับการถ่ายทอดต่อจากท่านดาเตะ มาซามุเนะนั่นเอง
สำหรับที่นี่เปิดให้บริการทุกวันตั้งแต่เวลา 09.00-16.30 น. และปิดให้บริการทุกช่วงวันหยุดสิ้นปี เสียค่าเข้าชมคนละ 550 เยน
  วิธีการเดินทางจาก Sendai Station ให้นั่งรถบัส Loople Sendai bus แล้วลงที่ป้ายรถเมล์หมายเลข 4 หลังจากนั้นเดินขึ้นเนินเขาไปอีกประมาณ 150 เมตร

7.หมู่บ้านสุนัขจิ้งจอกซาโอะ (蔵王キツネ村)


เมื่อมาถึงที่นี่ไม่ว่าใครก็ต้องยอมแพ้ให้กับความน่ารักน่าชังของเจ้าสุนัขจิ้งจอก ชาวญี่ปุ่นมีความเชื่อว่าสุนัขจิ้งจอกเป็นสัตว์ของเทพเจ้า หรือเป็นตัวแทนของเทพอินาริโอคามิ เทพเจ้าแห่งความอุดมสมบูรณ์ ดังนั้นชาวญี่ปุ่นจึงให้ความสำคัญกับสุนัขจิ้งจอก ซึ่งที่นี่เองก็เปิดเป็นพื้นที่ให้เข้าชมเหล่าสุนัขจิ้งจอกกว่า 6 สายพันธุ์ ท่านสามารถเล่นกับเจ้าสุนัขจิ้งจอกพวกนี้ได้อย่างใกล้ชิด แถมยังป้อนอาหารให้ได้ด้วย แต่ก็ต้องระมัดระวังกันด้วยนะคะ เพราะเจ้าสุนัขจิ้งจอกพวกนี้ซนเอาเรื่องเลยละ แต่ก็ยังมีมุมน่ารักๆให้เห็นมากมายเลยละ ถ้าได้มาที่นี่ละก็ต้องหลงรักเจ้าสุนัขจิ้งจอกขึ้นมาแน่ๆเลย ถึงแม้ที่นี่จะขึ้นชื่อว่าเป็นหมู่บ้านสุนัขจิ้งจอกแต่ก็มีกระต่าย แพะ ม้าแคระ ให้ท่านได้ชมความน่ารักรวมถึงให้อาหารอย่างใกล้ชิดได้ด้วย
หมู่บ้านสุนัขจิ้งจอกซาโอะเปิดให้เข้าชมตังแต่เวลา 9.00-17.00 น. ค่าเข้าชมผู้ใหญ่ 1,000 เยน และเด็ก 400 เยน ส่วนอาหารสำหรับสุนัขจิ้งจอกสามารถซื้อได้ภายในหมู่บ้าน
วิธีเดินทางจากสถานีรถไฟ Shiroishi Station สามารถนั่งแท๊กซี่มาได้เลย ใช้เวลาประมาณ 30 นาที

8. เกาะทาชิโระ (田代島)


ทาสแมวห้ามพลาด กับเหล่าน้องแมวที่เกาะทาชิโระ เมืองอิชิโนมากิ จังหวัดมิยางิ เป็นเกาะที่อยู่ท่ามกลางธรรมชาติ ห่างไกลความเจริญ แน่นอนว่าแต่เดิมจ้าแมวพวกนี้ไม่เชิงว่าตั้งรกรากอยู่ที่นี่ เพียงแต่มีคนเริ่มเอาแมวมาปล่อยเพื่อช่วยดูแลฟาร์มเลี้ยงไหม จนกระทั่งขยายพันธุ์ออกลูกหลานซะจนเยอะกว่าจำนวนคนบอกเกาะซะอีก ชาวบ้านที่นี่ส่วนใหญ่ก็เป็นผู้สูงอายุที่มีอาชีพประมงเป็นหลัก นอกจากท่านจะได้มาเดินเล่นบนเกาะดูความน่ารักของเจ้าแมวเหล่านี้แล้ว ยังได้เรียนรู้วิถีชีวิตชาวประมงดั้งเดิมอีกด้วย นอกจากนี้บนเกาะยังมีศาลเจ้าแมวเล็กๆ ที่สร้างไว้สำหรับแมวที่เสียชีวิตบนเกาะด้วย ถ้าท่านอยากพกอาหารมาให้น้องแมวก็พกมาได้นะคะ แล้วก็อย่าลืมพกมาให้ตัวเองด้วยนะ เพราะที่นี่ไม่ค่อยมีร้านอาหาร หรือตู้กดน้ำเลยละ รวมถึงหากใครต้องการพักที่นี่ก็ต้องจองก่อนล่วงหน้าด้วยนะ
วิธีเดินทางมายังเกาะทาชิโระ จากสถานี Ishinomaki Station ท่านสามารถนั่งรถเมล์สาย Ajishima Line ไปลงที่ท่าเรือเฟอร์รี่แต่ต้องเดินเท้าต่ออีก 30 นาที หรือนั่งแท็กซี่ต่อก็ได้ หลังจากนั้นขึ้นเรือที่ท่าเรือเฟอร์รี่ Ajishima เพื่อไปยังเกาะทาชิโระ ราคา 1,230 เยน ในหนึ่งวันจะมีเรือออกจากท่าเพียงแค่ 3 เที่ยวเท่านั้น

9. พิพิธภัณฑ์การ์ตูนอิชิโนะโมะริ (石ノ森萬画館)


ที่นี่คือพิพิธภัณฑ์การ์ตูนที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น ตั้งอยู่ที่เมืองอิชิโนมากิ โดดเด่นด้วยรูปร่างของอาคารทรงไข่ที่คล้ายกับยานอวกาศ แค่เห็นข้างนอกก็อยากเข้าไปจนทนไม่ไหวแล้ว เพราะฉะนั้นคอการ์ตูนห้ามพลาดเชียวละ โดยเฉพาะแนวบู๊แอ๊กชั่น ภายในพิพิธภัณฑ์มีการจัดแสดงรวบรวมผลงานและประวัติของนักวาดการ์ตูนชื่อดังอย่าง อิชิโนะโมริ โชทาโร่ เรื่อง ไซบอร์ก 009 และ มากส์ไรเดอร์ ที่ถือเป็นต้นแบบให้กับการ์ตูนแนวหน้ากากนี้อีกมากมาย ซึ่งท่านสามารถชมหน้ากากหลากหลายรูปแบบ อีกทั้งยังสามารถใส่หน้ากากต่อสู้กับวายร้ายได้ด้วย นอกจากนี้ยังมีรูปปั้นตัวการ์ตูนจากเรื่องต่างๆ และมังงะอีกมากมาย บริเวณทางเข้ายังมีรอยพิมพ์มือของนักวาดการ์ตูนชื่อดังมากมาย บรรยากาศในพิพิธภัณฑ์ก็ให้ความรู้สึกเหมือนหลุดไปอยู่ในโลกการ์ตูนจริงๆ เพราะมีรูปการ์ตูนตกแต่งอยู่ทั่วบริเวณ รวมถึงพนักงานที่แต่งตัวเหมือน
ไซบอร์ก 009 ด้วย
พิพิธภัณฑ์การ์ตูนอิชิโนะโมะริเปิดให้เข้าชมตั้งแต่เวลา 9.00-18.00 น. และปิดทำการทุกวันอังคารที่ 3 ของทุกเดือน เสียค่าเข้าชมคนละ 800 เยน
วิธีการเดินทางจากสถานีรถไฟ Ishinomaki Station แล้วเดินต่ออีกประมาณ 15 นาที หรือนั่งแท็กซี่

10. ถนนโจเซนจิ (定禅寺通り)


มาถึงจังหวัดมิยางิ ขากลับต้องแวะถนนโจเซนจิ สัญลักษณ์ของเมืองเซนได หรือที่เรียกกันว่า เมืองแห่งต้นไม้ เพราะตลอดสองข้างทางของถนนแห่งนี้มีต้นเคยะขิเรียงรายยาวไปถึงสถานีเซนได รวมถึงสวนสาธารณะขนาดใหญ่อย่าง สวนโคโตไดโคเอ็น และ สวนนิชิโคเอ็น ด้วยความยาวของถนนกว่า 700 เมตร ที่นี่จึงกลายเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่ใช้ในการจัดอีเว้นท์ ไม่ว่าจะเป็นที่ตั้งของงานประติมากรรมความทรงจำในฤดูร้อน, การจัดไฟประดับตลอดสองข้างทาง ,งานเทศกาลเซนไดทานาบาตะ, งานเทศกาลเซนไดอาโอบะ นอกจากนี้ท่านยังสามารถเดินช้อปปิ้งที่ย่านอิจิบังโจ ตลอดจนเที่ยวยามค่ำคืนที่ย่านคกคุบุงโจ ถ้าอยากช้อปปิ้ง เดินเล่นที่จังหวัดมิยางิ ต้องถนนโจเซนจิแห่งนี้เท่านั้น
วิธีเดินทางจาก JR สถานีเซนได นั่งรถไฟใต้ดินชิเออิ สายนัมโบคุแล้วลงที่สถานีโคโตไดโคเอ็น แล้วเดินต่ออีกนิดหน่อย


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น