วันศุกร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2561

จังหวัดอิวาเตะ


จังหวัดอิวาเตะ


จังหวัดอิวาเตะ (ญี่ปุ่น: 岩手県 Iwate-ken) เป็นจังหวัดหนึ่งของประเทศญี่ปุ่น ตั้งอยู่ในภูมิภาคโทโฮะกุ (東北地方 Tōhoku-chihō) หรือภาคตะวันออกเฉียงเหนือ บนเกาะฮนชู (本州 Honshū) มีเมืองเอกคือ เมืองโมริโอกะ (盛岡市 Morioka-shi)

สัญลักษณ์ของจังหวัดอิวาเตะ


มาสคอตประจำจังหวัด

ชื่อ วังโกะเคียวได Wanko Kyodai

ภูมิศาสตร์

มีชายฝั่งทะเลที่ทอดตัวยาวพร้อมด้วยผลิตภัณฑ์ทางทะเลมากมาย อาหารทะเลที่สุดวิเศษและชายฝั่งที่หยักเป็นฟันเลื่อยถูกโอบล้อมด้วยหน้าผา
จังหวัดอิวะเตะเป็นจังหวัดที่มีพื้นที่เป็นผืนดินที่ใหญ่ที่สุดในจังหวัดต่างๆ ของญี่ปุ่น ตั้งอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของเกาะใหญ่ของญี่ปุ่น โดยฝั่งตะวันออกหันหน้าไปทางมหาสมุทรแปซิฟิก ทางตอนเหนือของชายฝั่งมีหน้าผาที่ถูกกัดเซาะโดยน้ำทะเลและหาดทราย ความแตกต่างระหว่างหน้าผาที่เปี่ยมไปด้วยพลังที่ทอดตัวยาวและชายหาดโจโด-งะ-ฮามะที่เงียบสงบในเมืองมิยาโกะคือความงดงามที่อลังการ ทางใต้เป็นชายฝั่งที่มีแนวหยักเป็นฟันเลื่อยพร้อมด้วยปากน้ำจำนวนมากมาย เผยให้เห็นทิวทัศน์ที่แตกต่างกันไปจากเหนือจรดใต้
ชายฝั่งแนวยาวที่ได้รับพรให้มีท่าเรือที่ดีตามธรรมชาติ ก่อให้เกิดท่าเรือประมงที่อุดมไปด้วยผลิตภัณฑ์ทางทะเลที่ถูกนำขึ้นฝั่งได้ตลอดทั้งปี และมีร้านอาหารจำนวนมากในบริเวณใกล้เคียงที่คุณสามารถเพลิดเพลินไปกับอาหารทะเลสดๆ เช่น หอยเชลล์, หอยนางรม และเม่นทะเลได้
มีป่าดึกดำบรรพ์บนภูเขาอิวะเตะ-ซังและที่ราบสูงอัปปิที่ทอดยาวจากที่ราบสูงฮาชิมันไต ซึ่งทั้งหมดนี้รวมกันเป็นเทือกเขาโออุที่ทอดตัวไปตามแนวเขตแดนของจังหวัดอิวะเตะและอาคิตะ โดยที่คุณสามารถเพลิดเพลินไปกับกิจกรรมกลางแจ้งต่างๆ เช่น การเล่นสกีเช่นเดียวกับออนเซ็นหรือน้ำพุร้อนได้

นอกจากนี้ คุณยังสามารถสัมผัสกับวัฒนธรรมชนบทและประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่นในสถานที่ อย่างเช่น ฮานามากิ ซึ่งมีสนามบินเพียงแห่งเดียวในจังหวัดและเป็นที่รู้จักกันในฐานะของรีสอร์ทน้ำพุร้อน โมริโอกะจุดศูนย์กลางของจังหวัดได้รับการพัฒนาให้เป็นเมืองแห่งปราสาท และฮิราอิซุมิที่มีสมบัติของชาติ, สมบัติทางวัฒนธรรมที่สำคัญ และซากปรักหักพังทางประวัติศาสตร์มากมาย เช่น ชูซอน-จิ คอนจิคิโด (วัดชูซอน-จิ, หอทองคำ)

การปกครอง

ผู้ว่าราชการ : ฮิโรยะ มาซึดะ

พื้นที่

ทั้งหมด 15,278.40 ตร.กม. (5,899.02 ตร.ไมล์)
อันดับพื้นที่ 2 ของประเทศ

ประชากร 

ทั้งหมด 1,374,530 ล้านคน
อันดับ 30 ของประเทศ

ดอกไม้

Paulownia tree (Paulownia tomentosa)

ต้นไม้

Nanbu red pine (Pinus densiflora)

เศรษฐกิจ

เศรษฐกิจของจังหวัดนี้ คืออุตสาหกรรมรอบโมะริโอกะและการทำการคมนาคม

10 สุดยอดสถานที่ท่องเที่ยวใน “อิวาเตะ”

1. วัดชูซอนจิ (中尊寺)


วัดชูซอนจิ เมืองฮิราอิซูมิ คือ ที่ตั้งของพลับพลาสีทองอร่าม ซึ่งใช้เป็นที่เก็บเถ้ากระดูกของตระกูล
ฟูจิวาระถึงสามสมัยด้วยกัน  อีกทั้งยังได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นหนึ่งในมรดกโลกของประเทศญี่ปุ่น  เนื่องจากสมัยก่อนที่วัดแห่งนี้เคยมีเจดีย์มากกว่าสิบหลัง ทว่าสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 กลับถูกทำลายลงอย่างไม่เหลือซาก แต่ถึงแม้ปัจจุบันจะเหลือสถาปัตยกรรมอยู่ไม่มาก ที่นี่ก็ยังคงความงดงามให้ท่านได้ชมกัน ไม่ว่าจะเป็น วิหารใหญ่ฮอนโดะ วิหารเก่าแก่ที่เหลืออยู่เพียงหลังเดียวของวัด เพื่อนๆสามารถเข้ามาสักการะพระพุทธรูปเก่าแก่ภายในวิหารแห่งนี้ได้ หรือจะเดินชมความงามของวิหารทองคำคอนจิคิโดะ ซันโกโสะ ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์เก็บสมบัติของตระกูลฟุจิวาระ และหากเพื่อนๆคนไหนมาช่วงวันที่ 1-5 พฤษภาคม หรือ 
1-3 พฤศจิกายน ซึ่งตรงกับเทศกาลฟูจิวาระ ท่านจะได้ชมการแสดงละครหน้ากากโน การแสดงพื้นบ้านอันเก่าแก่ของญี่ปุ่นที่หาชมได้ยาก
วัดชูซอนจิเปิดทำการทุกวันตั้งแต่เวลา 8.30-17.00 น. สำหรับผู้ใหญ่ค่าเข้าชมคนละ 800 เยน นักเรียนมัธยมปลาย 500 เยน นักเรียนมัธยมต้น 300 เยน นักเรียนประถม 200 เยน 
วิธีการเดินทางจากสถานี JR Hiraizumi เพื่อนๆสามารถเดินจากสถานีมาถึงที่วัดได้เลย ใช้เวลาประมาณ 25 นาที หรือเช่าจักรยานบริเวณสถานีก็ได้

2. เมืองโมริโอกะ (盛岡)


เมืองโมริโอกะ คือ เมืองหลวงของจังหวัดอิวาเตะ ที่ถูกล้อมรอบไปด้วยภูเขา และเมื่อมาถึงที่นี่ เพื่อนๆต้องไม่พลาดทานก๋วยเตี๋ยวขึ้นชื่อของจังหวัดโมริโอกะ อย่างวังโกะโซบะ ก๋วยเตี๋ยวเรเมน และ จาจาเมน ซึ่งสามารถหาได้ตามร้านอาหารทั่วเมืองโมริโอกะเลยละ นอกจากนี้เพื่อนๆยังสามารถเดินชมซากปราสาทโมริโอกะ และ พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์เกี่ยวกับวัฒนธรรมประจำเมืองโมริโอกะ ที่สวนสาธารณะปราสาทโมริโอกะได้ด้วย อีกทั้งที่นี่ยังเป็นหนึ่งในสถานที่ชมดอกซากุระของชาวเมืองโมริโอกะอีกด้วย ยิ่งในช่วงฤดูหนาว ที่นี่ก็มีการจัดเทศกาลหิมะเมืองโมริโอกะ ทั้งการประกวดงานปั้น แกะสลักหิมะเป็นรูปร่างต่างๆ โคมเทียนหิมะ ประดับไฟหลากสี สร้างความประทับใจให้กับนักท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก หากท่านมีโอกาสมาช่วงต้นเดือนสิงหาคม อย่าพลาดชมเทศกาล Sansa Odori  เพื่อนๆสามารถเข้ามาร่วมขบวนเต้นวนรอบเมืองได้ด้วย มีพาเหรดปิดท้ายงานอันยิ่งใหญ่ด้วยละ
การเดินทางภายในเมืองโมริโอกะ เพื่อนๆสามารถนั่งรถ Dendenmushi Loop Bus ซึ่งวิ่งวนรอบเมืองโมริโอกะ เที่ยวละ 100 เยน หรือจะเดินเล่น ปั่นจักรยานก็ย่อมได้ เพราะสถานที่ท่องเที่ยวหลักๆภายในเมืองอยู่ไม่ไกลกันมาก ค่าเช่าจักรยานชั่วโมงแรก 100 เยนและบวกเพิ่มอีก 100 เยนทุกๆ 30 นาที

3. ฟาร์มโคอิวาอิ (小岩井農場)


ฟาร์มโคอิวาอิ เป็นฟาร์มเลี้ยงสัตว์ขนาดใหญ่ในจังหวัดอิวาเตะ ที่ยังคงสภาพแวดล้อมธรรมชาติ และส่งออกผลิตภัณฑ์คุณภาพเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็นไข่ไก่ เนื้อวัว เนื้อแกะ เนยสด โยเกิร์ต นอกเหนือจากการเลี้ยงสัตว์และการทำการเกษตรกรรมแล้ว ยังมีกิจกรรมขี่ม้า ยิงธนู เก็บผัก ผลไม้ในฟาร์ม อบพิซซ่าสดๆ และกิจกรรมอื่นๆอีกด้วย เมื่อเพื่อนๆมาถึงที่นี่ต้องไม่พลาดที่จะชิมนมสดๆ ซอฟต์ครีมนุ่มๆ แยมหวานๆ และผลิตภัณฑ์อื่นๆจากฟาร์ม นอกจากนี้ที่นี่ยังเป็นสถานที่ในการจัดงานเทศกาลหิมะอิวาเตะด้วย โดยในงานจะมีการจัดแสดงตุ๊กตาหิมะรูปแบบต่างๆ และบ้านหิมะคามาคุระให้เพื่อนๆได้เข้ามาเดินชม รวมถึงงานประดับไฟมากกว่า1ล้าน3แสนดวง เป็นฉากที่สวยงามอลังการสุดๆไปเลยละค่ะ ซึ่งแต่ละปีก็จะมีการจัดธีมที่แตกต่างกัน ถือเป็นงานอิลูมิเนชั่นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในภูมิภาคโคโฮคุเลยละ
สำหรับที่นี่เปิดให้บริการตั้งแต่เวลา 9.00 – 17.30 น. และปิดให้บริการในวันพฤหัสบดีของสัปดาห์ที่ 2 ในเดือนเมษายน ผู้ใหญ่เสียค่าเข้าชมคนละ 600 เยน ส่วนเด็กๆ เสียคนละ 300 เยน งานอิลูมิเนชั่นในฤดูหนาวจะจัดในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน – ต้นเดือนมกราคม ตั้งแต่เวลา 16.00 – 20.00  น. 
การเดินทาง เพื่อนๆสามารถขึ้นรถบัสที่หน้าสถานีโมริโอกะ แล้วต่อรถบัสหมายเลข10 ที่ผ่านฟาร์มโคอิวาอิ มาอิคิบาเอ็น หรือ สึนะโชยุ ออนเซ็น

4. ศูนย์อามะแห่งชายฝั่งโคโซเดะ (小袖海女センター)


สำหรับแฟนละครญี่ปุ่น เรื่องอามะจัง คงจะเคยเห็นศูนย์อามะ เมืองคุจิ มาบ้างในหลายๆฉาก อามะ คือ นักดำน้ำที่ไม่ใช้เครื่องช่วยหายใจ ถือเป็นอาชีพดั้งเดิมของจังหวัดอิวาเตะ ที่สำคัญคือเป็นผู้หญิงด้วย 
บวกกับสภาพภูมิศาสตร์ที่ติดกับทะเล อิวาเตะจึงเป็นอีกหนึ่งจังหวัดที่ขึ้นชื่อเรื่องอาหารทะเล โดยเฉพาะหอยเป๋าฮื้อ และหอยเม่น ดังนั้นเมื่อมาถึงที่นี่ ท่านจะได้ชมโชว์ดำน้ำแบบอามะ ซึ่งเป็นการโชว์งมหอยเม่นประมาณ 10 ตัว ต้องดำลงไปลึกกว่า 10 เมตร แต่โชว์หอยเม่นนั้นสามารถดูได้แค่ช่วงเดือนกรกฎาคม – เดือนกันยายนเท่านั้น และในวันอาทิตย์ของเดือนสิงหาคม ที่เมืองคุจิจะมีเทศกาล The Northernmost Ama Festival ที่จัดขึ้นบริเวณท่าเรือ Kosode Fising Post แน่นอนว่าท่านจะได้ดูโชว์การดำน้ำ การแสดงพื้นบ้านด้วย รวมถึงหอยเชลล์ย่างร้อนๆ อาหารทะเลสดๆ เมนูเด็ดประจำเมือง ที่เวลาดูละครเรื่องนี้แล้วจะโผล่มายั่วน้ำลายเราบ่อยๆ นั่นก็คือ ข้าวหน้าไข่หอยเม่น นั่นเอง
สำหรับใครที่ต้องการชมการแสดงดำน้ำที่ศูนย์อามะแห่งชายฝั่งโคโซเดะ ท่านสามารถชมได้ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 9.00 – 18.00 น. ค่าเข้าชมคนละ 500 เยน แต่ถ้าอยากชมโชว์หอยเม่นต้องมาช่วงกรกฏาคม – กันยายานเท่านั้น 
การเดินทางเพื่อนๆสามารถนั่ง JR Hachinohe Line มาลงที่สถานี Kuji

5. ช่องเขาเกบิเคอิ (猊鼻溪)


เปลี่ยนบรรยากาศมาล่องเรือสัมผัสธรรมชาติที่ช่องเขาเกบิเคอิ พร้อมจิบชาไปตลอดสองข้างทางในช่วงฤดูร้อน หรือจะชมใบไม้เปลี่ยนสีในช่วงฤดูใบไม้ร่วง แม้แต่ช่วงฤดูหนาวเพื่อนๆก็ยังสามารถนั่งเรือชมทัศนียภาพโดยรอบที่ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ แถมยังมีการติดตั้งหลังคากันหิมะ และฮีทเตอร์รวมถึงโต๊ะโคทัตสึ พร้อมหม้อสุกี้คอยให้บริการคลายหนาวกันด้วย ในขณะที่ล่องเรือก็จะมีเจ้าหน้าที่คอยอธิบายเป็นภาษาญี่ปุ่น แต่เพื่อนๆคนไหนไม่เข้าใจก็สามารถอ่านภาษาอังกฤษจากโบรชัวร์ได้ นอกจากนี้ท่านยังสามารถแวะชมถ้ำบิชาม่อน ที่เชื่อกันว่าเป็นที่อยู่ของเทพเจ้าขุมทรัพย์ และจมูกราชสีห์ ที่มาของชื่อเกบิเคอินั่นเอง หากใครสามารถโยนหินเล็กๆที่ชื่ออุนดามะเข้าไปในรูบนหน้าผาได้ เชื่อกันว่าคำอธิษฐานจะเป็นจริง
ท่านที่สนใจล่องเรือชม สามารถใช้บริการได้ตั้งแต่เวลา 8.30-16.30 น.หากวันไหนมีอากาศแปรปวนจะหยุดให้บริการทันที ค่าใช้จ่ายผู้ใหญ่ 1,600 เยน เด็ก 860 เยน ใช้เวลาล่องเรือประมาณ 90 นาที 
วิธีเดินทางจาก Hiraizumi นั่ง JR Tohoku Line แล้วลงที่ Ichinoseki แล้วเปลี่ยนไปนั่ง JR Ofunato Line ไปยัง Geibikei Station แล้วเดินต่ออีกนิดหน่อย

6. เอปพิ โคเกนรีสอร์ท ( 安比高原スキー場)


ที่นี่คือสวรรค์ของคนรักสกี เอปพิ โคเกนรีสอร์ท สกีรีสอร์ทชั้นนำของภูมิภาคโทโฮคุ ถือเป็นสกี
รีสอร์ทที่ใหญ่ที่สุดเลยก็ว่าได้ เพราะมีเส้นทางสกีกว่า 45.1 กิโลเมตร ท่านสามารถท้าทายความสามารถของตนเองไปกับการเล่นสกีหรือ สโนว์บอร์ด ที่ Salomon Snow Park หรือถ้าใครมาเป็นครอบครัวก็สามารถสนุกสนานไปกับหิมะ และกิจกรรมที่เหมาะสำหรับทุกคนในครอบครัวได้ที่ APPI Family Park แถมที่นี่ยังมีบริการให้เช่าอุปกรณ์ อีกทั้งยังมีร้านค้า ร้านอาหาร ให้เลือกมากมาย ถ้าท่านเล่นสกีไม่เป็นละก็หมดห่วงได้เลย เพราะที่นี่มีโรงเรียนสอนสกีคอยให้บริการด้วย หากท่านอยากใช้เวลาอยู่ที่นี่นานๆก็สามารถนอนพักได้ที่ Hotel Appi Grand ซึ่งหากพักที่นี่ละก็จะได้รับประทานอาหารในโดมหิมะด้วยละ อีกทั้งยังได้ผ่อนคลายไปกับการอาบน้ำพุร้อนในร่มและกลางแจ้งด้วย
เอปพิ โคเกนรีสอร์ท มีค่าใช้จ่ายแบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ 5,400 เยน สำหรับเล่นทั้งวัน และ 5,100 เยน สำหรับครึ่งวัน ถ้าเป็นช่วงตอนกลางคืนตั้งเวลา 16.00-20.00 น. 2,500 เยน ค่าเช่าสำหรับยืมอุปกรณ์สกี 5,200 เยน, บอร์ด 5,200 เยน และเสื้อผ้า 4,100 เยน 
การเดินทางจาก Morioka Station เพื่อนๆสามารถนั่งรถบัสมาถึงที่นี่ได้เลย หรือจะนั่งรถไฟจาก Morkioka Station ไปลงที่ Appi Kogen Station ซึ่งห่างจากสกีรีสอร์ทประมาณ 3 กิโลเมตร

7.  ถ้ำริวเซ็นโด (龍泉洞)


หนึ่งใน Unseen  Japan ถ้ำหินปูนที่ยาวที่สุดในญี่ปุ่น นั่นก็คือ ถ้ำริวเซ็นโด ที่มีความยาวมากกว่า 3,100 เมตร ทว่าเปิดให้เดินชมแค่เพียง 700 เมตรเท่านั้น ภายในถ้ำท่านจะได้เห็นหินย้อยรูปร่างประหลาดที่เรียกกันว่า Moon Palace  น้ำสีฟ้าครามที่ไหลไปรวมกันเป็นทะเลสาบใต้ดิน ซึ่งที่นี่มีถึง 4 แห่งด้วยกัน แถมที่นี่ยังมีสะพานให้เพื่อนๆเดินสำรวจกันด้วย หากมองจากสะพานข้างบนน้ำจะสะท้อนแสงเป็นสีฟ้าใต้ความมืดให้เราได้เห็นกันด้วย เนื่องจากน้ำมีความใสสะอาดมาก จึงมีการติดไฟใต้น้ำเพื่อให้น้ำสะท้อนแสงสีน้ำเงินออกมา จนกลายเป็นที่รู้จักกันในนาม Dragon Blue นอกจากนี้ตลอดระยะทางในการเดินเข้าไปในถ้ำ ท่านยังสามารถมองเห็นค้างคาวหลากหลายสายพันธุ์ที่อาศัยอยู่บริเวณเพดานถ้ำได้ด้วย อีกทั้งท่านยังสามารถจิบน้ำแร่ที่เชื่อกันว่าเมื่อได้ดื่มแล้วจะมีอายุยืนยาวไปอีก 3 ปี
ถ้ำริวเซ็นโดเปิดให้เข้าชมตั้งแต่เวลา 8.30-18.00 น. โดยผู้ใหญ่เสียค่าเข้าชม 1,000 เยน  เด็กนักเรียนคนละ 500 เยน 
วิธีเดินทางจากสถานี JR Morioka Station เพื่อนๆสามารถนั่งรถบัส JR Bus Tohoku ที่มุ่งหน้าไปยัง Ryusendo ได้เลย

8. ชายฝั่งทะเลคิตะยามาซากิ (北山崎展望台)


ท่านสามารถสัมผัสธรรมชาติ และชมวิวของทะเลคิตะยามาซากิได้ที่แหลมแห่งนี้ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติซังริคุ ที่มีการอนุรักษ์สัตว์น้ำและพืชพันธุ์บริเวณชายฝั่ง หากลองทอดสายตาออกไปจะพบหน้าผาสูงเรียงรายมากมาย ที่มีความสูงประมาณ 150 – 200 เมตร เล่นเอาคนที่มีใจรักในการปีนเขาชีพจรเท้าเต้นตุ๊บๆเลยละค่ะ หรือถ้าใครอยากเห็นวิวชัดๆเต็มสองตา ก็ลองมาที่หอชมวิวคิตะยามาซากิได้ 
ซึ่งภายในอาคารมีทั้งหมด 3 ชั้น เพื่อนๆสามารถรับประทานอาหาร และเลือกซื้อของที่ระลึกได้ด้วย นอกจากนี้หากท่านคิดว่าหน้าผาที่นี่ยังสูงไม่จุใจ ถัดไปทางทิศใต้ประมาณ 10 กิโลเมตร มีหน้าผาอูโนซุให้ได้แวะชมวิวเพิ่มกันอีกด้วย วันไหนคลื่นลมไม่แรงมาก ท่านยังสามารถสนุกกับการล่องเรือสัปปะ ชมแนวปะการังบนน้ำตื้น และล่องเรือผ่านรูใหญ่ๆของแหลมทะเลได้อีกด้วย
หากท่านจะมาที่ชายฝั่งทะเลคิตะยามาซากิ จาก Miyako Station ให้นั่งรถไฟ Sanriku Railway Northern Line ไปลงที่ Tanohata Station แล้วนั่งแท็กซี่ต่อ แต่ทางที่ดีขออนุญาตแนะนำให้เช่ารถยนต์ส่วนตัวจะดีกว่า เพราะที่นี่ไม่มีรถบัสบริการบ่อยนัก ท่านสามารถเช่ารถยนต์ได้ที่สถานีรถไฟ Morioka Station หรือ Miyako Station ได้เลย

9. ชายหาดโจโดงาฮามะ (浄土ヶ浜)


กรวดทรายสีขาว น้ำทะเลสีฟ้าเข้ม ท้องฟ้าสีคราม และบรรยากาศเงียบสงบ ที่นี่คือชายหาดโจโดงาฮามะ เกาะสวรรค์แห่งอิวาเตะนั่นเอง ท่านสามารถว่ายน้ำชมความงามใต้ท้องทะเล หรือ ล่องเรือชมทิวทัศน์ที่มีให้เลือกถึงสองแบบด้วยกัน คือ Blue Cave Cruise ที่จะพาท่านแล่นเรือไปชมวิวโดยรอบ และ Miyako Jodogahama Boat Cruise ที่จะพาท่านไปเที่ยวชมเกาะหิน เข้าชมถ้ำสีฟ้า และแวะให้อาหารนกนางนวล นอกจากนี้บริเวณใกล้เคียงยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกอย่าง ห้องอาบน้ำ ร้านอาหาร มีการจัดนิทรรศการเล็กๆเกี่ยวกับชายฝั่งทะเล และแนะนำเส้นทางในการเดินชมชายหาดด้วย
หากท่านสนใจนั่งเรือ Blue Cave Cruise มีค่าใช้จ่ายคนละ 1,500 เยน สามารถนั่งชมได้ 20 นาที หรือถ้าเป็น Miyako Jodogahama Boat Cruise ใช้เวลา 40 นาที ในราคาเพียง 1,250 เยน เปิดทำการเวลา 8.30-17.00 น. และปิดทำการช่วงเดือนธันวาคม-กุมภาพันธ์ และกลางเดือนมกราคม-ต้นเดือนมีนาคม 
ท่านสามารถนั่งรถบัส Iwate Kenpoku Bus จากสถานีรถไฟ Miyako Station แล้วไปลงที่สถานี Jodogashima bus stop แล้วเดินต่ออีกประมาณ 10 นาที

10. สวนสาธารณะเทนโชจิ (展勝地公園)


ที่สวนสาธารณะเทนโชจิ ริมแม่น้ำคิตะคามิ คือสถานที่ชมดอกซากุระยอดนิยม ยามฤดูใบไม้ผลิของชาวเมืองคิตามิ ซึ่งเหล่าดอกซากุระมากกว่า 10,000 ต้น พร้อมใจกันบานสะพรั่งในช่วงปลายเดือนเมษายน เรียงรายตามทางยาวกว่า 2 กิโลเมตร จนกลายเป็นอุโมงค์ดอกซากุระที่สวยงาม โรแมนติกสุดๆเลยค่ะ แถมตอนต้นเดือนพฤษภาคม ท่านยังสามารถเดินชมดอกซึซึจิ หรือกุหลาบพันปีกว่า 100,000 ต้น ได้อีกด้วย ซึ่งเมื่อถึงฤดูดอกไม้ผลิ จะมีร้านอาหาร ร้านขนม รวมถึงกิจกรรมการแสดง ให้เพื่อนๆได้สนุกสนานกันด้วย  หรือใครอยากจะนั่งเรือล่องไปตามแม่น้ำคิตาคามิเพื่อชมดอกซากุระก็ได้  ถัดจากสวนสาธารณะไปนิดนึงมีหมู่บ้านพื้นเมืองมิจิโนคุ ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์จัดแสดงบ้านและ อาคารอื่นๆตามยุคสมัยของภูมิภาคโทโฮคุ 
ท่านสามารถเข้าชมภายในบ้านเพื่อเรียนรู้วิถีชีวิตดั้งเดิมได้
ท่านที่สนใจนั่งเรือชมดอกซากุระริมแม่น้ำคิตามิ มีค่าใช้จ่ายคนละ 1,000 เยน สามารถนั่งชมได้รอบละ 20 นาที ส่วนหมู่บ้านพื้นเมืองมิจิโนคุ เปิดทำการตั้งแต่เวลา 9.00-17.00 น. ท่านยังสามารถเข้าชมได้ฟรีในช่วงเทศกาลชมซากุระ นอกเหนือจากนี้ต้องเสียค่าเข้าชมคนละ 500 เยน
วิธีเดินทางจาก Kitakami Station ไปยังสวนสาธารณะเทนโชจิ ท่านสามารถเดินหรือนั่งรถบัส Iwate แล้วลงที่ป้าย Tenshoji ก็ได้


จังหวัดอากิตะ


จังหวัดอากิตะ


จังหวัดอากิตะ (ญี่ปุ่น: 秋田県 Akita-ken) เป็นจังหวัดในประเทศญี่ปุ่น ตั้งอยู่บริเวณภาคโทโฮกุซึ่งอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของญี่ปุ่น มีเมืองหลวงชื่ออากิตะ

สัญลักษณ์ของจังหวัดอะกิตะ


มาสคอตประจำจังหวัด

ชื่อ สึงิวจิ Sugicchi

ภูมิศาสตร์

จังหวัดอากิตะตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเกาะฮนชูมีอาณาเขตติดกับทะเลญี่ปุ่นทางทิศตะวันตก จังหวัดอาโอโมริทางทิศเหนือ จังหวัดอิวาเตะทางทิศตะวันออก จังหวัดมิยางิทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ และจังหวัดยามางาตะทางทิศใต้
จังหวัดอากิตะมีลักษณะคล้ายสี่เหลี่ยมจัตุรัส มีความยาวตั้งแต่เหนือจรดใต้ 181 กิโลเมตร และตะวันออกจรดตะวันตก 111 กิโลเมตร มีภูเขาโออุเป็นหลักเขตจังหวัดทางธรรมชาติทางทิศตะวันออก และมีภูเขาเดวะทอดตัวขนานกันในตอนกลางของจังหวัด มีคาบสมุทรโองะเป็นจุดเด่นบริเวณชายฝั่งของจังหวัด ภูมิอากาศมีอากาศหนาวเย็นโดยเฉพาะในบริเวณที่ห่างไกลชายฝั่ง

การปกครอง

ผู้ว่าราชการ : โนริฮิซะ ซาตาเกะ

พื้นที่

ทั้งหมด 11,612.11 ตร.กม. (4,483.46 ตร.ไมล์)
อันดับพื้นที่ : 6 ของประเทศ

ประชากร 

ทั้งหมด 1,106,050 คน
อันดับ 37 ของประเทศ

ดอกไม้

ฟูกิ (Petasites japonicus)

ต้นไม้

อากิตะซึกิ (Cryptomeria japonica)

เศรษฐกิจ

เศรษฐกิจยังคงประกอบอุตสาหกรรมดั้งเดิม เช่น การเกษตร การประมง และป่าไม้ อากิตะมีชื่อเสียงในเรื่องสาเก เป็นเหตุทำให้คนหนุ่มสาวนิยมออกเดินทางไปประกอบอาชีพในต่างพื้นที่ เช่น โตเกียว และเมืองใหญ่อื่น ๆ เป็นจังหวัดที่ปลูกข้าวได้เนื่องจากอุดมไปด้วยน้ำที่มีคุณภาพดี ฟุคุชิมะภาคภูมิใจในอุตสาหกรรมเหล้าสาเกหลัก (ไวน์ข้าว) อันรุ่งเรืองของตนเอง ผลไม้ตามฤดูกาล เช่น ลูกพีช, แอปเปิ้ล และผลไม้ชนิดอื่นๆ สามารถเก็บเกี่ยวได้ตลอดทั้งปี นอกจากนี้ คุณยังสามารถลิ้มรสอาหารที่สดใหม่จากทะเลและฟาร์มท้องถิ่นได้ทุกประเภท เช่น เส้นราเม็ง, เส้นโซบะ, มิโซะ (น้ำถั่วเหลือง), เนื้อดำญี่ปุ่น และอาหารทะเลที่สดใหม่

สุดยอดสถานที่ท่องเที่ยวใน “อาคิตะ”

ย่านชุมชนซามูไรเมืองคาคุโนะดาเตะ (Kakunodate Samurai District)


คะคุโนะดาเตะเป็นหมู่บ้านที่มีชื่อเสียงโด่งดังในบานะที่เป็นถิ่นฐานของชาวซามูไรและเคยเป็นที่ตั้งของปราสาทคาคุโนะดาเตะ สิ่งของเก่าแก่มากมายที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วเมืองเป็นสิ่งแสดงถึงความเจริญรุ่งเรืองของซามูไรในสมัยก่อน ในปัจจุบันยังมีบ้านพักอาศัยอยู่ประมาณ 80 หลังคาเรือนที่ยังคงสถาปัตยกรรมซามูไรแบบดั้งเดิมที่เป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งมีบ้านเพียง 6 หลังที่เปิดให้ผู้คนได้เข้าไปชมความสวยงามภายในบ้านได้ฟรี โดยเฉพาะบ้านอาโอยากิ ที่มีอาคารหลายหลังที่ถูกดัดแปลงให้เป็นร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึก และพิพิธภัณฑ์นำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับประเพณี วิถีชีวิตของซามูไรแห่งเมืองคาคุโนะดาเตะ กับบ้านอิชิกูโระ ที่จะมีพื้นที่เล็กกว่าบ้านอาโอยากิ ภายในจะจัดแสดงเสื้อผ้าและเสื้อเกราะซามูไร รวมถึงภาพวาดทางกายภาพ มี 2 หลังที่ถูกปรับปรุงให้เป็นพิพิธภัณฑ์โดยนักท่องเที่ยวจะต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเข้าชม
การเดินทางจากสถานี JR Kakunodate เดินประมาณ 20 นาที หรือนั่งแท็กซี่ประมาณ 5 นาที โดยย่านชุมชนจะเริ่มจากสี่แยก Yoko Machi ขึ้นไป

นิวโตะออนเซน (Nyuto Onsen)


แหล่งน้ำพุร้อนชื่อดังท่ามกลางขุนเขาที่เป็นที่นิยมของซามูไรในยุคนั้น นั่นคือ นิวโตะออนเซน หรือน้ำพุร้อนสีน้ำนมที่มีลักษณะขุ่นจากแร่ธาตุจำนวนมากที่ผสมในน้ำนั่นเอง เป็นแหล่งเรียวกังออนเซนในภูเขาฝั่งทิศตะวันออกของจังหวัดอากิตะในอุทยานแห่งชาติโทวาดะ ฮาจิมังไท (Towada Hachimantai National Park) เรียวกังแต่ละแห่งค่อนข้างเรียบง่ายเป็นสไตล์ดั้งเดิม และเปิดให้บริการมามากกว่า 300 ปี มีทั้งหมด 8 แห่ง โดยเรียวกังสุรุโนยุ (Tsurunoyu) เป็นออนเซนในนิวโตะที่เก่าแก่และมีชื่อเสียงมากที่สุด นอกจากนั้นก็มี สุรุโนยุออนเซน ยามาโนยาโดะ (Tsurunoyu Onsen-Yamanoyado), คุโรยุออนเซน (Kuroyu Onsen), ทาเอโนยุออนเซน (Taenoyu Onsen), งานิบะออนเซน (Ganiba Onsen), โองามะออนเซน (Ogama Onsen), มาโงโรคุออนเซน (Magoroku Onsen), และคิวคามูระนิวโตะออนเซนเคียว (Kyukamura Nyuto Onsenkyo) ว่ากันว่าน้ำแร่ของที่นี่มีแร่ธาตุที่มีประโยชน์ช่วยรักษาโรค บำรุงสุขภาพ มากกว่า 10 ชนิดกันเลยทีเดียว
การเดินทางขึ้นรถไฟ JR East ไปลงที่สถานี Tazawako จากนั้นต่อรถบัส Ugo Kotsu มุ่งหน้าไปยัง Tazawako Lake และลงที่ป้าย Tazawa Lake Shore

รถไฟชมธรรมชาติสายอะคิตะ ไนริคุ จูคัน (Akita Nairiku Jukan Railway)


รถไฟสายไนริคุ จูคันวิ่งผ่านตอนกลางของจังหวัดอาคิตะ จากสถานีทาคาโนสุ ไปยังสถานีคาคุโนดาเดะ เป็นที่นิยมในหมู่นักท่องเที่ยวมากโดยเฉพาะช่วงใบไม้เปลี่ยนสีและฤดูร้อน ที่มาชมความสวยงามของศิลปะบนท้องทุ่งนาที่เรียกว่าทันโบะอาร์ต (Tanbo Art) ที่จะมีประจำทุกปี แต่ละปีจะเปลี่ยนไปตามไอเดียของผู้ออกแบบ ซึ่งก็ไม่ใช่ใครอื่นไกลเป็นฝีมือของเด็กนักเรียนในพื้นที่นั้นเอง
การเดินทางจากรถไฟ JR East ไปยังสถานี Kakunodate หรือจากรถไฟ JR Akita Shinkansen ก็ได้เช่นกัน ถ้าเพื่อนๆเดินทางโดยรถยนต์ ให้ใช้ทางด่วน Akita Expressway เพื่อไปยังทางเชื่อม Noshiro Minami IC หรือทางเชื่อม Kyowa IC

พิพิธภัณฑ์นามาฮาเกะ (Namahagekan)


นามาฮาเกะ เป็นสัญลักษณ์ของจังหวัดอาคิตะ คนในสมัยก่อนเชื่อว่านามาฮาเกะหรือยักษ์พวกนี้จะถูกส่งมาจากเทพเจ้าป่าเขาเพื่อให้ปัดเป่ากำจัดสิ่งชั่วร้ายให้กับคนในหมู่บ้าน ซึ่งมีการทำเป็นเทศกาลคือจะให้ชายหนุ่มในหมู่บ้านสวมหน้ากากยักษ์และคลุมตัวด้วยเสื้อฟาง ถือมีดกับกระบองแล้ววิ่งไปตามหมู่บ้านเพื่อหลอกเด็กที่ไม่เชื่อฟังพ่อแม่
ในปัจจุบันนี้มีพิพิธภัณฑ์ที่รวบรวมเรื่องราวเกี่ยวกับนามาฮาเกะ ไม่ว่าจะเป็นการแสดงวิธีทำเสื้อคลุมฟาง หน้ากายักษ์ มีโรงหนังเล็กๆดูความเป็นมาของนามาฮาเกะ และสามารถลองสวมชุดนามาฮาเกะถ่ายรูปได้อีกด้วย หรือะถ่ายกับรูปปั้นก็ได้ พิพิธภัณฑ์แห่งนี้อยู่ที่เมืองโอกะ จังหวัดอาคิตะ ซึ่งเพื่อนๆสามารถเข้าไปชมได้
เวลาทำการ: 08.30 น. – 17.00 น.
ค่าเข้า: ผู้ใหญ่ 540 เยน เด็กวัยประถม มัธยมต้น/ปลาย 270 เยน
การเดินทาง ขึ้นรถไฟ JR สาย Oga ไปลงที่สถานี Hadashi นั่งแท็กซี่ต่ออีกประมาณ 15 นาที

พิพิธภัณฑ์คามาคุระ หรือคามาคุระคัง (Kamakurakan)


เทศกาลโยโคเตะ คามาคุระ มีมายาวนานประมาณ 400 กว่าปี จัดขึ้นในวันที่ 15 – 16 กุมภาพันธ์ของทุกปีทั่วทั้งเมืองโยโคเตะ จังหวัดอาคิตะ โดยการสร้างกระท่อมน้ำแข็งที่มีขนาดสำหรับคนประมาณ 3 – 4 คนมานั่งรอบกองไฟเล็กๆ มีแท่นบูชาสลักติดไว้บนผนังน้ำแข็งเพื่ออุทิศให้กับเทพเจ้าแห่งน้ำ และจะมีเด็กๆมาพูดเชิญชวนว่า “ไฮเตะตันเส (ขอเชิญเข้ามาในคามาคุระ)” พร้อมกับแจกอะมะสาเก (เหล้าหวาน) และโมจิ (เค้กข้าว)
เวลา: 06.00 น. – 21.00 น.
การเดินทางลงรถไฟ JR ที่สถานี Yokote เดินประมาณ 10 นาที

สวนสาธารณะเซนชู (Senshukouen)


สวนสาธารณะประจำจังหวัดอาคิตะ รายล้อมไปด้วยธรรมชาติสวยงามมากมายอย่างต้นซากุระและต้นสึสึจิ หากเดินทางมาช่วงเดือนเมษายน – เดือนพฤษภาคม จะเป็นหนึ่งในสถานที่ชมดอกซากุระที่มีชื่อเสียงและความสวยงามมากแห่งหนึ่งในญี่ปุ่นเลยก็ว่าได้
ที่นี่เคยเป็นที่ตั้งปราสาทคุโบตะมาก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นสวนสาธารณะและภายในสวนยังมีศาลเจ้าและรูปปั้นของ Yoshiaki Satake ผู้ปกครองดินแดนและเป็นเจ้าของปราสาทคุโบตะแห่งเมืองอาคิตะนี้ด้วยค่ะ แถมบริเวณรอบข้างยังมีสวนสไตล์ญี่ปุ่น มีป้อมโอซุมิยางุระ ที่เคยใช้เป็นที่เก็บอาวุธและหอสังเกตการณ์ของปราสาทมาก่อน แต่ในปัจจุบันเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์แสดงประวิติศาสตร์ความเป็นมาของอาคิตะซึ่งเราสามารถมองเห็นวิวเมืองได้แบบพาโนรามาเลยค่ะ

ศาลเจ้าอะคะกะมิ โกะชาโดะ (Akagami Goshado)


ศาลเจ้าแห่งนี้มีบันไดหิน 999 ขั้นที่คนญี่ปุ่นเชื่อว่าถูกสร้างสร้างขึ้นโดยยักษ์หรือที่คนญี่ปุ่นเรียกว่า นามาฮาเกะ 5 ตนซึ่งอาศัยอยู่ที่นี่ และเชื่อว่าที่นี่เป็นจุดกำเนิดตำนานยักษ์นามาฮาเกะ

หินก็อตซิลล่า (Gojiraiwa)


เป็นหินที่มีรูปร่างคล้ายกับก็อตซิลล่า ถ้าไปดูตอนเย็นจะคล้ายก็อตซิลล่ากำลังพ่นไฟเลยค่ะ แถมเจ้าหินก็อตซิลล่านี่ก็ได้ออกรายการทีวีทำให้ที่นี่มีนักท่องเที่ยวเข้ามาถ่ายรูปเยอะเลย อีกไม่นานก็จะกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีผู้คนมาอย่างล้นหลาม อยู่ที่แหลมชิโอเซะ (Shiose – Saki) เมืองโอกะ จังหวัดอาคิตะ เพื่อนๆคนไหนอยากถ่ายกับก็อตซิลล่าก็อย่าลืมไปกันนะคะ

โอยาซุเคียว ไดฟุนโต (Oyasukyo Daifunto)


เป็นสถานที่ที่มีชื่อเสียง มีอีกชื่อหนึ่งว่า “จิโกคุกามะ” ซึ่งหมายความว่า “หม้อนรก” เป็นแหล่งน้ำพุร้อนที่มีไอน้ำพ่นขึ้นมาตามซอกหินส่งเสียงฟู่ฟู่ ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ตามธรรมชาติที่หาชมได้ยาก และบริเวณรอบๆก็มีออนเซนถึง 11 บ่อเลยค่ะ เชื่อกันว่าสามารถรักษาโรคต่างๆได้ด้วยนะ ถ้าไปตามช่วงใบไม้ผลิ ใบไม้เปลี่ยนสีหรือหน้าหนาวก็ชมความสวยงามของธรรมชาติโดยรอบได้
นอกจากจังหวัดอาคิตะจะมีพันธุ์น้องหมาที่ทุกคนรู้จักก็ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย ซึ่งส่วนใหญ่จะยังคงความเป็นธรรมชาติเอาไว้เกือบ 100% ถ้าคนรักธรรมชาติถ้าได้ไปเยือนสักครั้งนึงก็จะรู้สึกประทับใจและมีความสุขไปกับสถานที่ที่มีทั้งประวัติศาสตร์มากมายหรือความสวยงามของธรรมชาติที่จะเปลี่ยนแปลงกันไปตามฤดูทั้ง 4 ทำให้มีเสน่ห์ที่แตกต่างกันไป ณ จังหวัดอาคิตะแห่งนี้


จังหวัดอาโอโมริ


จังหวัดอาโอโมริ


จังหวัดอาโอโมริ (ญี่ปุ่น: 青森県 อาโอโมริ-เก็ง) เป็นจังหวัดตั้งอยู่เหนือสุดของ เกาะฮนชู
อยู่ในภาคโทโฮกุของประเทศญี่ปุ่น เมืองเอกของจังหวัดคือนครอาโอโมริ

สัญลักษณ์ของจังหวัดอาโอโมริ
มาสคอตประจำจังหวัด


ชื่อ ทาคามารุ Takamaru

ภูมิศาสตร์

จังหวัดอาโอโมริถือเป็นจังหวัดที่ตั้งอยู่ทางเหนือที่สุดของเกาะฮนชู และอยู่คนละฟากกับจังหวัด
ฮกไกโดโดยมีช่องแคบสึงะรุคั่นไว้อยู่ ทางใต้มีเขตติดต่อกับจังหวัดอะกิตะและอิวะเตะ และทางตะวันออกเฉียงเหนือของจังหวัดมีลักษณะเหมือนรูปขวานยื่นลงไปในทะเล โดยที่บริเวณสันขวานนั้นเป็นชายฝั่งคาบสมุทรชิโมะกิตะ
ทะเลสาบโทะวะดะซึ่งเป็นแอ่งภูเขาไฟรูปกระจาดบริเวณทางใต้ของจังหวัดอาโอโมรินั้นยังกินพื้นที่คาบเกี่ยวกับจังหวัดอะกิตะ โดยมีธารน้ำออกไหลเป็นแม่น้ำโอะอิระเซะซึ่งจะไหลไปออกมหาสมุทรแปซิฟิกที่นครอาโอโมริ
อะโอโมริเป็นเจ้าภาพในการจัดเทศกาลต่างๆ ตลอดฤดูกาล ซึ่งคุณจะเข้าใจได้ถึงความรู้สึกในการดำเนินชีวิตของผู้คน โดยมีเทศกาลต่างๆ มากมายที่รวมถึงเทศกาลอะโอโมริ เนะบุตะ-มัทซึริและเทศกาล
ฮิโรซากิ เนะปุตะ-มะทซึริ (ซึ่งทำให้ท้องฟ้ายามค่ำคืนในฤดูร้อนสั้นๆ ในอะโอโมริสว่างไสว), การแสวงบุญในอิวากิ โอยาม่าในเมืองฮิโรซากิ (เทศกาลที่เพิ่มเสน่ห์บทกวีให้กับฤดูใบไม้ร่วงในทซึการุ) และฮาชิโนะเฮะ เอนบุริในเมืองฮาชิโนะเฮะ (เทศกาลฤดูหนาวแบบดั้งเดิม เพื่อขอความเจริญรุ่งเรืองและให้มีการเก็บเกี่ยวที่ดี)

การปกครอง

ผู้ว่าราชการ : ชินโงะ มิมุระ

พื้นที่

ทั้งหมด 9,606.26 ตร.กม. (3,709.00 ตร.ไมล์)
อันดับพื้นที่ : 8 ของประเทศ

ประชากร

1.383 ล้านคน
อันดับ 28 ของประเทศ

ดอกไม้

แอปเปิล (Malus domestica)

ต้นไม้

ฮิบะ (Thujopsis dolabrata)

คมนาคม

อากาศ
มีสนามบินสองแห่งตั้งอยู่ภายในจังหวัดอาโอโมริ ทั้งสองแห่งเป็นสนามบินขนาดเล็กสำหรับเที่ยวบินในประเทศและระหว่างประเทศจากเกาหลีเท่านั้น
ท่าอากาศยานอาโอโมริ
ท่าอากาศยานมิซะวะ

10 สุดยอดสถานที่ท่องเที่ยวใน “อาโอโมริ”

1. ปราสาทฮิโรซากิ (弘前城)


ปราสาทฮิโรซากิแต่เดิมเป็นที่อยู่อาศัยของตระกูลซึการุ เป็น 1 ใน 7 ปราสาทที่มีความสวยงามและมีชื่อเสียงที่สุดของญี่ปุ่น ตัวปราสาทประกอบไปด้วย ประตูปราสาท คูปราสาท และป้อมตามมุมปราสาท ภายในปราสาทเป็นพิพิธภัณฑ์จัดแสดงวัตถุโบราณ เช่น ชุดเกราะซามูไร แม้ปัจจุบันตัวปราสาทจะมีการเสื่อมสภาพไปตามกาลเวลา แต่ก็ได้รับการบูรณะบริเวณฐานปราสาทขึ้นมาใหม่ และที่น่าทึ่งคือวิธีการบูรณะที่ใช้การยกตัวปราสาทออกจากฐานไปตั้งบริเวณข้างๆ โดยไม่ได้รื้อถอน ถือเป็นภาพที่แปลกตามากสำหรับนักท่องเที่ยว ภาพปราสาทที่เหลือแต่ฐาน แต่ตัวปราสาทกลับวางอยู่ข้างๆ ซึ่งวิธีการบูรณะแบบนี้มีแค่ปราสาทฮิโรซากิเท่านั้น
สำหรับที่นี่เปิดให้บริการทุกวันตั้งแต่เวลา 09.00-17.00 น. และปิดทำการในวันที่ 24 พฤศจิกายน – 31 มีนาคม เสียค่าธรรมเนียมเข้าชมคนละ 310 เยน เด็ก 100 เยน
วิธีการเดินทางจากสถานี JR Hirosaki เพื่อนๆสามารถนั่งรถบัส Dotemachi Roop Bus บริเวณหน้าสถานี แล้วลงที่ป้าย Shiyakusho mae ได้เลย

2. พิพิธภัณฑ์ศิลปะพื้นบ้านเนบูตะ (ねぶたの家)


เมื่อพูดถึงจังหวัดอาโอโมริ ไม่มีใครไม่รู้จักเทศกาลเนบูตะมัตสึริ หรือเทศกาลแห่โคมไฟอันยิ่งใหญ่ ที่จัดขึ้นในเมืองโอมินาโตะ จังหวัดอาโอโมริ ในช่วงต้นเดือนสิงหาคมของทุกปี เหล่าโคมไฟรูปร่างต่างๆ เช่น ซามูไร เทพเจ้า ปีศาจ หรือแม้กระทั่งสัตว์น่ารักๆ จะถูกดึงขึ้นให้ลอยบนท้องฟ้าสูงกว่า 10 ฟุต และเมื่อมาถึงพิพิธภัณฑ์นี้ จะสะดุดตากับตัวอาคารที่ถูกตกแต่งด้วยแผ่นโลหะสีแดง ส่วนภายในพิพิธภัณฑ์มีการจัดแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับเทศกาลเนบูตะมัตสึริ
สำหรับที่นี่เปิดให้บริการทุกวันตั้งแต่เวลา 09.00-19.00 น. ปิดทำการในช่วงวันหยุดสิ้นปี และ วันที่ 9-10 สิงหาคมหรือช่วงเทศกาลเนบูตะมัตสึริ ค่าเข้าชมพิพิธภัณฑ์คนละ 600 เยน
สามารถเดินจากสถานีรถไฟ JR Aomori Station ไปทางทิศเหนือประมาณ 5 นาที

3.ศูนย์ศิลปะโทวาดะ (十和田市現代美術館)


ภายในศูนย์ศิลปะโทวาดะมีการจัดแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับงานศิลปะจากทั่วทุกมุมโลก เปรียบเสมือนการจำลองเมืองเมืองหนึ่งผ่านตัวอาคารที่ใช้เป็นห้องแสดงผลงาน และเมื่อเข้าไปข้างในจะสามารถเห็นถึงโครงสร้างที่แตกต่างระหว่างอาคารแต่ละหลัง ซึ่งสามารถเดินถึงกันได้ด้วยทางเดินกระจก ส่วนภายนอกตัวอาคารประติมากรรมที่โดดเด่นสะดุดตาคงไม่พ้นเจ้าม้าที่ถูกตกแต่งด้วยดอกไม้ตัวนี้
เป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงความรุ่งเรือง
ศูนย์ศิลปะโทวาดะเปิดทำการทุกวันตั้งแต่เวลา 09.00-17.00 น. ปิดทำการทุกวันจันทร์ และช่วงวันหยุดสิ้นปี ค่าธรรมเนียมในการเข้าชมคนละ 510 เยน หากวันไหนมีนิทรรศการพิเศษสามารถซื้อตั๋วชมรวมกันได้เลย ในราคา 1,000 เยน
การเดินทางสามารถนั่งรถบัสที่วิ่งระหว่าง Shinchinohe Towada Station และ Towada City แล้วลงที่ป้าย Towada shi Chuo หลังจากนั้นเดินต่ออีกประมาณ 10 นาที

4. แหล่งโบราณคดีซานนาอิ มารุยาม่า (三内丸山遺跡)


พื้นที่ทางโบราณคดีซานนาอิ มารุยาม่า เป็นพื้นที่ทางโบราณคดีที่อุดมสมบูรณ์และใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น บริเวณนี้นักโบราณคดีค้นพบซากหลังคา บ้านเรือนในสมัยโจมง หรือ 10,000-2,000 ปีที่ผ่านมา และยังมีอีกหลายบริเวณที่ยังต้องสำรวจอยู่ข้างๆโบราณคดีแห่งนี้เป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์โจมง จิยุคัง ภายในพิพิธภัณฑ์มีการจัดแสดงวัตถุโบราณที่ถูกขุดพบบริเวณพื้นที่แห่งนี้ พร้อมประวัติศาสตร์สมัยโจมง เกี่ยวกับสภาพภูมิศาสตร์ วิถีชีวิตของชาวบ้านในสมัยนั้น รวมถึงบ้านเรือนที่ถูกค้นพบด้วย นอกจากนี้เพื่อนๆยังสามารถลองใส่เสื้อผ้าย้อนยุค พร้อมลองใช้สิ่งประดิษฐ์ที่เคยเป็นเครื่องมือของคนในสมัยนั้น และลองชิมอาหารท้องถิ่นได้อีกด้วย
แหล่งโบราณคดีซานนาอิ มารุยาม่า เปิดทำการทุกวันตั้งแต่เวลา 09.00-17.00 น.  และปิดทำการในช่วงวันหยุดสิ้นปี สามารถเข้าชมได้ฟรีไม่เสียค่าธรรมเนียมค่ะ
การเดินทางสามารถขึ้นรถบัสจาก Aomori Station แล้วลงที่ป้าย Sannai Maruyama Isekimae ใช้เวลาประมาณ 20 นาทีค่ะ

5. เกาะคาบุชิมะ (蕪嶋神社)


เกาะคาบุชิมะ หรือเกาะนกนางนวล เนื่องจากเกาะแห่งนี้กลายเป็นที่อยู่อาศัยและขยายพันธุ์ของเหล่านกนางนวลหางดำ หรือ อุมิเนะโกะ ทั้งยังได้รับการแต่งตั้งให้เป็นอนุสรณ์สถานแห่งชาติอีกด้วย และไม่ว่าจะแดดออก ฝนตก ลมพัดแรง เพื่อนๆก็ควรใส่หมวกหรือพกร่มมาด้วยนะคะ เพราะที่นี่มีนกนางนวลมากกว่า 40,000 ตัว ที่พร้อมจะปล่อยอุนจิลงบนหัวเราเมื่อไหร่ก็ได้ ดังนั้นระวังกันด้วยละ สำหรับเพื่อนๆที่ต้องการมาชมนกนางนวลหางดำที่นี่ ต้องมาในช่วงเดือนมีนาคม เนื่องจากเป็นช่วงที่เหล่านกนางนวลออกมาจับสัตว์ทะเลกินที่เกาะนี้ และจะบินจากไปในช่วงเดือนสิงหาคม
สำหรับที่นี่สามารถเข้าชมได้ตลอดไม่เสียค่าธรรมเนียม
การเดินทางเพื่อนๆสามารถเดินจาก JR Hachinohe Line ใช้เวลาประมาณ 13 นาที

6. ภูเขาโอโซเรซัง (恐山)


ว่ากันว่าที่นี่เป็นที่เชื่อมต่อระหว่างโลกหนึ่งกับอีกโลกหนึ่ง เพราะบรรยากาศของกลิ่นซัลเฟอร์ที่อบอวลอยู่ในอากาศ ประกอบกับสองข้างทางที่มีพระพุทธรูปเรียงราย และกังหันอันน้อยหมุนติ้วๆ รวมถึงคำกล่าวขานที่ว่าที่นี่เป็นสถานที่รวบรวมดวงวิญญาณ เพราะพื้นที่บางส่วนของยังคงมีกลุ่มควันแก๊สจากภูเขาไฟ กลิ่นกำมะถันและ น้ำพุร้อนไหลออกมา ด้วยเหตุนี้ที่นี่จึงมักถูกเรียกว่า จิโกกุ ที่แปลว่านรก นอกจากนั้นบริเวณนี้ยังมีศาลเจ้าของเทพเจ้าอิตะโกะ ที่เชื่อว่าสามารถสื่อสารกับเหล่าคนตายได้ ทำให้แถวนั้นมีของไหว้ผู้ตายวางอยู่ข้างๆด้วย ดังนั้นไม่แปลกเลยหากท่านรู้สึกเหมือนอยู่อีกโลกหนึ่ง ยิ่งเดินลึกเข้าไปจะพบสะพานโค้งสีแดงที่ข้ามผ่านระหว่างแม่น้ำแซนซู ว่ากันว่าสะพานแห่งนี้ เป็นสะพานที่เชื่อมต่อระหว่างโลกหนึ่งกับอีกโลกหนึ่งไว้
การเดินทางเพื่อนๆสามารถนั่งรถบัสจากสถานี JR Shimokita แล้วต่อรถบัสจาก Shimokita ใช้เวลาประมาณ 40 นาที

7. ภูเขาฮักโกดะ (八甲田山)


สำหรับผู้ที่หลงใหลในธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นขุนเขา ป่าไม้ ลำธาร ทะเลสาบ ภูเขาฮักโกดะ คือที่ๆทุกคนตามหา เนื่องจากภูเขาแห่งนี้ตั้งอยู่เหนือสุดของจังหวัดอาโอโมริ เรื่องความสวยงามของทิวทัศน์คงไม่ต้องพูดถึง ไม่ว่าจะเป็นฤดูใบไม้ร่วง ที่ต้นไม้ผลัดกันเปลี่ยนสีให้นักท่องเที่ยวได้เพลินเพลิน ฤดูร้อนและฤดูใบไม้ผลิที่นี่ก็เป็นเส้นทางศึกษาธรรมชาติยอดนิยม เหมาะสำหรับผู้ที่ชอบถ่ายภาพหรือวาดรูปธรรมชาติ ในฤดูหนาวที่นี่จะถูกหิมะปกหลุมจนเปลี่ยนเป็นสีขาวโพลน รวมถึงต้นไม้ที่ถูกแช่แข็งจนกลายเป็น Snow Monster หรือ ปีศาจหิมะตามรูปร่างที่เปลี่ยนไป แถมยังเป็นลานสกีที่ท้าทายความสามารถของผู้เล่นอีกแห่งหนึ่ง นอกจากนี้ที่นี่ยังมีออนเซ็นซูกายุ ที่สามารถจุคนได้เป็นจำนวนมากให้ท่านได้ผ่อนคลายกันด้วย หากใครไม่อยากเดินที่นี่ก็มีบริการกระเช้าให้นั่งขึ้นไปบนยอดเขา สามารถชมวิวได้แบบ 360 องศาได้อีกด้วย
ภูเขาฮักโกดะเปิดให้เข้าชมทุกวันตั้งแต่เวลา 09.00-16.20 น. ส่วนช่วงกลางเดือนพฤศจิกายน-กุมภาพันธ์ จะปิดให้บริการในเวลา 15.40 น. สำหรับท่านที่ต้องการใช้บริการกระเช้าขึ้นภูเขาฮักโกดะ เที่ยวเดียวราคา 1,180 เยน ถ้าไปกลับ 1,850 เยน
การเดินทางเพื่อนๆสามารถนั่งรถบัส JR Bus จาก Aomori Station หรือ Shin Aomori Station ไปยังทะเลสาบโทวาดะ ลงที่สถานีกระเช้าภูเขาฮักโกดะ หรือป้ายอื่นๆ ที่อยู่บริเวณเดียวกับภูเขา

8.ลำธารโออิราเสะ (奥入瀬渓流)


ลำธารโออิราเสะที่ยาวกว่า 14 กิโลเมตรนี้ตั้งอยู่ที่อุทยานแห่งชาติโทวาดะฮาจิมันไท ลำธารโออิราเสะแห่งนี้เป็นจุดชมวิวที่สวยงามที่สุดในประเทศญี่ปุ่น โดยเฉพาะช่วงประมาณปลายเดือนตุลาคม-ต้นเดือนพฤศจิกายน หรือช่วงฤดูใบไม้ร่วง เหล่าใบไม้ที่เคยเขียวชอุ่ม จะพากันเปลี่ยนเป็นสีส้ม สีแดง ทำให้บรรยากาศบริเวณลำธารแห่งนี้สวยงามสุดๆไปเลย เนื่องจากลำธารโออิราเซะไหลมาจากทะเลสาบโทวาดะ ท่านจึงสามารถเดินสำรวจป่าเลียบลำธารจากเมืองเนโนคูจิ ไปยังเมืองยาซูมิยะได้ เป็นระยะทาง 9 กิโลเมตร ไปกลับประมาณ 5 ชั่วโมง หรือใครอยากใช้บริการรถบัสรับส่ง ที่เลือกขึ้นและลงตามป้ายได้ มีแวะจอดริมทางให้ท่านได้ลงไปชมวิวบริเวณนั้นและยังสามารถชมน้ำตกที่ไหลออกมาจากผนังของหุบเขาได้ด้วย นับว่าเป็นอีกหนึ่งเส้นทางที่ดีที่สุดในการชมทะเลสาบโทวาดะ
สำหรับที่นี่ท่านสามารถนั่งรถบัส JR Bus Tohoku ที่ชานชาลา H16 จากสถานี JR Hachinohe ทางออกตะวันตก ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง 20 นาที หรือจะนั่งรถบัส JR Bus Tohoku จากสถานี JR Aomori ที่ชานชาลา 11 ใช้เวลา 3 ชั่วโมง 15 นาที

9. ตลาดปลาฟุรุกาวะ (古川市場 のっけ丼 青森魚菜センター)


ตลาดปลาขนาดใหญ่ของจังหวัดอาโอโมริ สองข้างทางของตลาดแห่งนี้อัดแน่นไปด้วยแผงลอยจากสินค้าที่ส่งตรงมาจากทะเล ท่านสามารถชิมอาหารทะเล เช่นปลาสด หรืออาหารท้องถิ่น ผักและผลไม้ตามฤดูกาล จะว่าไปแล้วขึ้นชื่อว่าตลาดปลาแต่กลับโด่งดังเรื่องอาหารการกิน ทั้งๆที่ภาพตลาดปลาแว๊บแรกคือเหมือนตลาดสดขายปลาอะไรทำนองนี้ แต่ว่าที่นี่มีการเปิดให้เป็นตลาดปลาที่คล้ายโรงอาหาร คือ นักท่องเที่ยวสามารถเลือกทานอาหารทะเลสดๆได้ไม่จำกัด เรียกว่าการกินแบบ Nokkedon ส่วนอาหารที่มีจัดเตรียมไว้แล้วจะเรียกว่า Donburi  คือการนำอาหารมาโปะลงบนข้าวพูนๆ สำหรับที่นี่เมนูยอดนิยมคงหนีไม่พ้นซาชิมิ ที่ทั้งอร่อยและราคาไม่แพงอย่างที่คิด
สำหรับวิธีทาน Nokkedon หรือ Donburi  ท่านต้องซื้อตั๋วสำหรับถ้วยข้าวก่อน ซึ่งจะแบ่งเป็น แบบ
5 ใบ 540 เยน และแบบ 10 ใบ 1,080 เยน หลังจากนั้นจึงสามารถเดินเลือกหาอาหารได้ตามใจชอบ แล้วนั่งทานที่โต๊ะได้เลย บนโต๊ะก็มีเครื่องปรุงให้พร้อมแล้วด้วย เรียกได้ว่าบริการทุกอย่างจริงๆ สมกับเป็นโรงอาหารแห่งอาโอโมริตามคำร่ำลือจริงๆ
ที่นี่เปิดทำการทุกวันตั้งแต่เวลา 7.00 – 17.00 น. และปิดให้บริการทุกวันอังคาร
การเดินทาง สามารถเดินจากสถานีรถไฟอาโอโมริมาทางตะวันออกเฉียงใต้ เพียง 5 นาที ก็จะถึงตลาดปลาแห่งนี้แล้ว

10. Hotel Apple Land Aomori (青森 南田温泉)


หากมาถึงจังหวัดอาโอโมริแล้ว ไม่รู้จะพักที่ไหน โดยเฉพาะคนที่ชอบทานแอปเปิ้ลยิ่งห้ามพลาดโรงแรม Hotel Apple Land เมืองสึงารุ เนื่องจากแอปเปิ้ล เป็นผลไม้ขึ้นชื่อของจังหวัดอาโอโมริ เจ้าของโรงแรมจึงปิ๊งไอเดียแปลกๆขึ้น ซึ่งท่านสามารถมาสัมผัสได้แค่ที่นี่เท่านั้น หากได้มาพักที่นี่แน่นอนว่าต้องได้แช่ออนเซ็นที่บ่อซึการุมินามิดะ โดยมีลูกแอปเปิ้ลลอยตุ๊บป่องอยู่เต็มไปหมด พร้อมน้ำร้อนที่ไหลมาจากถ่านไม้ไผ่เผา ที่จะช่วยบำรุงผิวพรรณให้คงความสดชื่นเอาไว้ และด้วยความที่บ่อแห่งนี้เป็นบ่อแบบเปิด ระหว่างแช่ตัวในน้ำท่านสามารถสูดกลิ่นสายลม และชมวิวทิวทัศน์รอบๆไปพลางๆได้ นอกจากนี้จากบริเวณห้องพักยังสามารถมองเห็นวิวของภูเขาอิวากิ และ เทือกเขาชิราคามิได้ด้วย แถมยังได้ลองทานอาหารท้องถิ่นอย่าง Noresore Don ที่ทางโรงแรมจะเสิร์ฟเป็นอาหารเช้าสำหรับแขกที่เข้ามาพักในโรงแรม รวมถึงอาหารอื่นๆที่ใช้แอปเปิ้ลเป็นวัตถุดิบหลัก สมกับเป็น Apple Land จริงๆ
การเดินทาง สามารถเดินทางจากสถานี Hirosaki โดยขึ้นรถไฟ JR สาย Ou Line แล้วเปลี่ยนไปขึ้นสาย Konan Line มาลงที่สถานี Hiraga หลังจากนั้นเดินต่ออีกประมาณ 15 นาที ควรเข้าเช็คอินเวลา 15.00 – 22.00 น. และเช็คเอาท์เวลา 6.00 – 10.00 น. สำหรับราคาห้องพักขึ้นอยู่กับห้องพักที่เลือก ซึ่งท่านสามารถจองและเลือกห้องพักผ่านเว็บไซต์ตัวแทนจองที่พักออนไลน์ได้ด้วย


จังหวัดฟูกูชิมะ


จังหวัดฟูกูชิมะ


จังหวัดฟูกูชิมะ (ญี่ปุ่น: 福島県 Fukushima-ken) เป็นจังหวัดหนึ่งในประเทศญี่ปุ่น ตั้งอยู่บริเวณภาคโทโฮกุบนเกาะฮนชู เมืองหลักอยู่ที่เมืองฟูกูชิมะ

สัญลักษณ์ของจังหวัดฟูกูชิมะ


มาสคอตประจำจังหวัด


ชื่อ คิบิตัน

ภูมิศาสตร์

อำเภอฮามะ-โดริ ตั้งอยู่ในฟุคุชิมะทางทิศตะวันออกหันหน้าสู่มหาสมุทรแปซิฟิก เป็นอำเภอที่สามารถเพลิดเพลินไปกับอากาศที่ไม่หนาวจัด ทำให้สะดวกสบายต่อการดำรงชีวิต อำเภอนากะ-โดริเป็นพื้นที่เชิงพาณิชย์และอุตสาหกรรมที่มีระบบการขนส่งที่ทันสมัย ซึ่งรวมถึงสายชินคันเซ็นที่วิ่งจากเหนือลงใต้ผ่านทางศูนย์ของอำเภอ และยังมีทางหลวงและสนามบินฟุคุชิมะ นอกจากนี้ ยังสามารถผ่อนคลายไปกับน้ำพุร้อนที่สามารถพบได้หลายแห่งในพื้นที่เขตชานเมือง
เป็นจังหวัดที่ปลูกข้าวได้เนื่องจากอุดมไปด้วยน้ำที่มีคุณภาพดี ฟุคุชิมะภาคภูมิใจในอุตสาหกรรมเหล้าสาเกหลัก (ไวน์ข้าว) อันรุ่งเรืองของตนเอง ผลไม้ตามฤดูกาล เช่น ลูกพีช, แอปเปิ้ล และผลไม้ชนิดอื่นๆ สามารถเก็บเกี่ยวได้ตลอดทั้งปี นอกจากนี้ คุณยังสามารถลิ้มรสอาหารที่สดใหม่จากทะเลและฟาร์มท้องถิ่นได้ทุกประเภท เช่น เส้นราเม็ง, เส้นโซบะ, มิโซะ (น้ำถั่วเหลือง), เนื้อดำญี่ปุ่น และอาหารทะเลที่สดใหม่

การปกครอง

ผู้ว่าราชการ : ยูเฮอิ ซาโตะ

พื้นที่

ทั้งหมด 13,782.54 ตร.กม
อันดับพื้นที่ 3 ของประเทศ

ประชากร

ทั้งหมด 2,028,752
อันดับ 17 ของประเทศ

ดอกไม้

Nemotoshakunage (Rhododendron brachycarpum)
ต้นไม้
Japanese zelkova (Zelkova serrata)

เศรษฐกิจ

เศรษฐกิจและอุตสาหกรรมที่สำคัญคือ บริเวณตามชายฝั่งทะเลมีการตกปลาและมีอาหารทะเล มีการผลิตพลังงานเกี่ยวกับไฟฟ้าและเจาะจงที่อุตสาหกรรมที่กำเนิดพลังปรมาณู มีอุตสาหกรรมหนักอยู่หลายแห่ง จังหวัดฟูกูชิมะเป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และซอฟต์แวร์ และเด่นในด้านอาหารทะเล


10 สุดยอดสถานที่ท่องเที่ยวใน “ฟุกุชิมะ”

1.ทะเลสาบอินาวาชิโระ (猪苗代湖)


ทะเลสาบน้ำจืดที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสี่ของประเทศญี่ปุ่น ตั้งอยู่บริเวณภูเขาบันได ซึ่งทะเลสาบแห่งนี้เกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟข้างๆภูเขาบันได ทำให้น้ำในทะเลสาบยังคงความเป็นกรดอ่อนๆอยู่ และด้วยเหตุนี้เองจึงไม่มีพืช หรือ สัตว์น้ำภายในทะเลสาบแห่งนี้เลย แต่เพื่อนๆไม่ต้องกังวลนะคะ ว่าจะเป็นอันตรายต่อร่างกายรึเปล่า เพราะน้ำในทะเลสาบแห่งนี้ไม่เป็นอันตรายต่อมนุษย์ค่ะ
นอกจากนี้เรายังสามารถสนุกกับกิจกรรมได้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นกีฬาทางน้ำ เล่นเรือใบ ปั่นจักรยาน ปีนภูเขา หรือแม้แต่ในช่วงฤดูหนาวก็สามารถเล่นสกี และสโนว์บอร์ดได้ด้วย เมื่อถึงเดือนพฤศจิกายน – เดือนเมษายนเพื่อนๆจะได้พบกับฝูงหงส์กว่า 3,000 ตัว ที่อพยพมาอยู่ทะเลสาบแห่งนี้ เล่นน้ำอย่างสนุกสนานกันด้วย อีกทั้งเพื่อนๆยังสามารถเห็นภาพสะท้อนของภูเขาบันไดสะท้อนกับทะเลสาบแห่งนี้ เป็นภาพที่สวยงามราวกับภาพวาดเลยละค่ะ ทำให้ที่นี่เป็นที่รู้จักกันอีกชื่อว่า กระจกแห่งสวรรค์ นั่นเอง
การเดินทางสามารถเดินทางมาที่นี่ได้จากสถานี Inawashiro นั่งสาย Banetsu West Line แล้วไปต่อรถไฟ Tohoku Shinkansen Bullet Train สาย Tohoku line ที่สถานี Okoriyama Station

2. หมู่บ้านโบราณโออุจิ จูกุ (大内宿)


ย้อนเวลากลับสู่สมัยเอโดะ ที่นี่เปรียบเสมือนสถานที่พักแรมของเหล่าซามูไร พ่อค้า นักเดินทางทั้งหลาย ซึ่งเป็นถนนยาวกว่า 500 เมตร ยาวไปถึงจังหวัดนีงาตะเลยละ ตลอดสองข้างทางเพื่อนๆจะเห็นบ้านแบบโบราณที่เป็นบ้านชาวนาญี่ปุ่นในสมัยก่อน คือมีการมุงหลังคาด้วยหญ้าหนาๆเรียงรายตลอดสองฝั่ง
หมู่บ้านโบราณโออุจิ จูกุ เปิดให้เข้าชมได้ตั้งแต่เวลา 09.30 น. – 16.30 น.เสียค่าเข้าชมผู้ใหญ่ 250 เยน และเด็ก 150 เยน
การเดินทางสามารถเดินทางจากสถานี Sendai โดยนั่ง Shinkansen Yamabiko ไปสถานี Koriyama นั่งรถไฟสาย JR Ban etsu Saisen ไปสถานี Aizu wakamatsu  แล้วนั่งรถไฟสาย Aizu ไปสถานี Yunokami Onsen หลังจากนั้นต่อแท็กซี่ไปอีกประมาณ 15 นาที หรือจะเดินก็ได้ค่ะ

3. ปราสาทซึรุกะ (鶴ヶ城)



แต่เดิมปราสาทนี้มีชื่อว่าปราสาทคุโระคะวะ มีทั้งหมด 7 ชั้นด้วยกัน ทว่าปัจจุบันมีการปรับให้เหลือเพียง 5 ชั้นเท่านั้น ถึงแม้จะได้รับการบูรณะใหม่ แต่ที่นี่ก็ยังคงความเป็นปราสาทดั้งเดิมของญี่ปุ่นเอาไว้ด้วยการปูกระเบื้องสีแดงบนหลังคา สาเหตุที่มีอีกชื่อหนึ่งว่าปราสาทนกกระเรียน นั่นก็เพราะว่า ซึรุกะภาษาญี่ปุ่นแปลว่านกกระเรียนนั่นเอง
ภายในปราสาทซึรุกะแห่งนี้ยังเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ให้เพื่อนๆศึกษาความเป็นมา รวมถึงวิถีชีวิตของเหล่าซามูไร ข้าวของเครื่องใช้ ศิลปะและวัฒนธรรมในสมัยก่อน หากขึ้นไปยังชั้นบนสุดของตัวปราสาท เพื่อนๆจะได้มาสูดบรรยากาศด้านบน อีกทั้งยังสามารถมองเห็นทัศนียภาพของภูเขาบันไดได้อีกด้วย นอกจากนี้บริเวณสวนภายในปราสาทยังมีเรือนน้ำชารินคะคุ ที่ใช้เป็นสถานที่จัดพิธีชงชา เพื่อนๆจึงสามารถแวะมาจิบชาที่นี่ได้ รวมถึงแวะทานอาหารท้องถิ่นของที่นี่ได้ที่ Tsurugajo Kaikan ยิ่งในช่วงฤดูใบไม้ผลิเพื่อนๆจะได้ชมดอกซากุระกว่า 1,000 ต้น ภายในสวนของปราสาทแห่งนี้ด้วย
ปราสาทซึรุกะเปิดให้บริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 8.30 – 17.00 น. เสียค่าเข้าชมคนละ 410 เยน
วิธีการเดินทาง จากสถานี JR Koriyama ขึ้นรถไฟสาย JR Banetsu Saisen แล้วลงที่สถานี JR
Aizuwakamatsu แล้วต่อด้วยรถบัสไปลงที่ป้าย Tsuruga Kitaguchi  แล้วเดินต่ออีกนิดหน่อยก็ถึงแล้วค่ะ

4. ทะเลสาบโกชิคินุมะ (五色沼)



ที่นี่คือทะเลสาบที่เกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟบันได ทำให้เกิดเป็นบ่อแอ่งเล็กๆมากมาย รวมถึงทะเลสาบแห่งนี้ด้วย สาเหตุที่ทะเลสาบสามารถเปลี่ยนเป็นสีต่างๆได้ เพราะในน้ำมีกรดที่ทำปฏิกิริยากับหินภูเขาไฟทำให้เราสามารถเห็นสีของน้ำเปลี่ยนแปลงได้ ทั้งสีแดง สีน้ำเงิน สีเขียว โดยเฉพาะแอ่งขนาดใหญ่อย่างทะเลสาบบิชามง ในแต่ละวันจะมีสีสันแตกต่างกันออกไป หากวันไหนฟ้าโปร่งก็จะเป็นสีฟ้าไม่ก็สีเขียวมรกตสวยงามมากๆ ยิ่งวันไหนฟ้าครื้มก็จะเป็นสีน้ำเงินเข้ม ส่วนตอนพระอาทิตย์ตกดินก็เป็นสีแดง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพดินฟ้าอากาศ และการทำปฏิกิริยากับแร่ธาตุในน้ำด้วย
ที่นี่ยังมีชื่อเรียกตามตำนานว่า ทะเลสาบเบ็นเท็น ซึ่งชื่อนี้อิงมาจากเทพเจ้าแห่งอักษร และดนตรี ตามตำนานพื้นบ้านสมัยก่อน หากเพื่อนๆต้องการชมวิวใบไม้เปลี่ยนสี หรือดอกซากุระ ที่นี่ก็เป็นตัวเลือกที่แจ๋วสุดๆไปเลยละค่ะ อย่าลืมพกข้าวกล่องมาปิกนิกกันด้วยนะ เพราะบรรยากาศมันน่าปูเสื่อทานข้าวจริงๆ
การเดินทางสามารถเดินทางมาที่นี่โดยรถบัส Bandai Higashi Miyako Bus จากสถานี Inawashiro (JR Ban etsu Saisen Line / Ban etsu West Line) ใช้เวลาประมาณ 30 นาที ถึง Goshikinuma ที่ป้าย Urabandai kogen eki หรือ ป้าย Goshikinuma Iriguchi eki  ก็ได้ค่ะ

5. ศาลเจ้าชินกุ คุโมโนะ (新宮熊野神社)


นี่คือศาลเจ้าของเหล่านักบวชผู้เคร่งครัดในสมัยก่อน ด้วยบรรยากาศอันเงียบสงบ ทำให้รับรู้ได้เลยว่าที่นี่เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์จริงๆ และเมื่อเพื่อนๆเข้ามาในศาลเจ้าจะพบกับต้นแปะก๊วยยักษ์ที่แผ่กิ่งก้านสาขาเหลืองอร่ามไปทั่วบริเวณนั้น ซึ่งต้นแปะก๊วยยักษ์นี้มีอายุกว่า 800 ปีเชียวนะ
ศาลเจ้าชินกุ คุโมโนะเปิดให้เข้าชมเฉพาะวันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดราชการ ตั้งแต่เวลา 8.00-17.00 น. เสียค่าเข้าชมคนละ 300 เยน เด็กนักเรียนมัธยมปลาย 200 เยน ส่วนเด็กนักเรียนมัธยมต้นและเด็กเล็กเข้าฟรี
การเดินทางจากสถานี JR Kitakata Station ให้ขึ้นรถไฟสาย JR Banetsu Saisen ใช้เวลาประมาณ 15 นาที หรือจะนั่งแท็กซี่ก็ได้ค่ะ

6. สวนสาธารณะฮานะมิยามะ (花見山公園)


เทศกาลชมดอกไม้ ถือเป็นอีกหนึ่งเทศกาลสำคัญของชาวญี่ปุ่น ในการพบปะสังสรรค์กันของคนในครอบครัว มิตรสหาย หรือคู่รัก ที่พากันมาเดินชมเหล่าดอกไม้ที่กำลังบานสะพรั่ง พร้อมนั่งทานข้าวกล่อง เป็นปิกนิกเล็กๆ และพูดคุยกัน ถือเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่ถ้ามาถึงญี่ปุ่นแล้วต้องไม่พลาด โดยเฉพาะที่สวนสาธารณะฮานะมิยามะแห่งนี้ ซึ่งตั้งอยู่บนเนินเขาสูง เพื่อนๆสามารถเดินชมดอกซากุระมากกว่า 10 สายพันธุ์ ทั้งดอกซากุระสีขาว สีชมพู และดอกไม้ต่างๆอีกกว่า 70 ชนิด ไม่ว่าจะเป็นดอกบ๊วย ดอกแมกโนเลีย  ที่นี่จึงกลายเป็นหุบเขาดอกไม้ที่สวยงามสุดๆเลยละค่ะ
ถ้าหากเพื่อนๆต้องการมาชมดอกซากุระที่ฮานะมิยามะ สามารถมาได้ตั้งแต่ช่วงเดือนเมษายน
ซึ่งเป็นช่วงที่ดอกซากุระกำลังบานสะพรั่ง ถ้าเป็นดอกไม้ชนิดอื่นเพื่อนๆก็สามารถมาชมได้ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ไปจนถึงต้นเดือนพฤษภาคมเลยละค่ะ แถมที่นี่ยังเปิดให้เข้าชมฟรี ไม่เสียค่าธรรมเนียมด้วย
การเดินทางจาก Fukushima Station มี Shuttle bus หมายเลข 6 ไปยัง Hanamiyama ในช่วงฤดูใบไม้ผลิด้วย โดยรถบัสจะออกทุกๆ 15-30 นาทีค่ะ

7. อุทยานแห่งชาติโอเซะ (尾瀬国立公園)


เพื่อนๆคนไหนชื่นชอบธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นภูเขา ทะเลสาบ น้ำตก ป่าไม้ อุทยานแห่งชาติโอเซะคือสวรรค์ของเพื่อนๆเลยละ เพราะที่นี่กว้างใหญ่ครอบคลุมถึง 4 จังหวัด คือ จังหวัดฟุกุชิมะ โทจิงิ นีงะตะ และกุนมะ เพื่อนๆจึงสามารถกางเต้นท์ค้างคืน เดินป่าสำรวจเส้นทางธรรมชาติ ศึกษาพันธุ์พืช และสัตว์ต่างๆ ชื่นชมความงามของเหล่าดอกไม้ธรรมชาติ รวมถึงบึงน้ำที่ว่ากันว่าตั้งอยู่สูงที่สุดในโลก ยิ่งถ้าได้มีโอกาสมาช่วงฤดูใบไม้ผลิ ดอกไม้ที่นี่จะพร้อมใจกันเบ่งบาน ทั้งดอกลิลลี่ ดอกกะหล่ำเป็นวิวทิวทัศน์ที่สวยงามมากๆเลยละค่ะ
เส้นทางการเดินป่าของที่นี่ก็มีให้เลือกถึงสองแบบคือ เส้นทางจาก ฮะโตะมะชิโตะเงะ ที่นิยมมาเพื่อชมดอกไม้ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ และเส้นทางโอเซะนุมะ ที่เดินเลียบไปรอบบ่อน้ำ หรือใครอยากได้แอดเวนเจอร์กว่านี้ก็มีเส้นทางปีนเขาให้เพื่อนๆได้ไปท้าทายความสามารถกันด้วย
การเดินทางจากฟูกุชิมะ เพื่อนๆสามารถนั่งรถบัสจาก Aizu-Tajima Station สาย Aizu Railway Line ที่ผ่านเส้นทาง Miike ไปยัง Numayamatoge รถบัสจะออกวันละ 4 รอบ ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงกว่าๆค่ะ

8. อความารีน ฟุกุชิมะ (環境水族館)


พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำที่มีอ่างขนาดใหญ่ 2,050 ตัน หรือที่เรียกกันว่า ทะเลชิโอเมะ ซึ่งอ่างน้ำแห่งนี้ถูกออกแบบให้เป็นรูปสามเหลี่ยม ถือเป็นอ่างน้ำสามเหลี่ยมแห่งแรกของโลกอีกด้วย ส่วนน้ำที่ไหลวนอยู่ภายในทะเลชิโอเมะนั้นมาจากมหาสมุทรคุโรชิโอะทางทิศใต้ และ โอยาชิโอะทางทิศเหนือ ดังนั้นที่นี่จึงแบ่งออกเป็นสองกระแสน้ำ
อความารีน ฟุกุชิมะเปิดให้เข้าชมตั้งแต่เวลา 09.00-17.30 น. และปิดทำการทุกวันอังคารที่ 3 ของเดือน รวมถึงวันที่ 1 มกราคมของทุกปี  เสียค่าเข้าชมท่านละ 1,600 เยน
การเดินทาง เพื่อนๆสามารถนั่งรถบัส Onahama /Ena จากสถานีอิซูมีแล้วลงที่ป้าย Shisho-guchi หลังจากนั้นเดินต่ออีกประมาณ 10 นาทีก็ถึงค่ะ

9. อะดาตาระ สกีรีสอร์ท (安達太良山のスキー場)


อะดาตาระ สกีรีสอร์ท เป็นสกีรีสอร์ทที่ตั้งอยู่บริเวณเนินเขาอาดาตาระ  ซึ่งที่นี่มีเนินเขายาวถึง 1,800 เมตร ดังนั้นจึงไม่แปลกเลยละค่ะ ถ้าที่นี่จะกลายเป็นลานสกีที่น่าจับตามองอีกแห่งหนึ่ง สำหรับนักเล่นสกีทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นมือโปรที่ผ่านมาแล้วทุกสนามแข่ง หรือคนที่เล่นสกีไม่เป็นเลย ที่นี่ก็มีคอร์สสอนสกี พร้อมทั้งอุปกรณ์ต่างๆให้เช่าด้วย นอกจากนี้ยังมีที่พักและร้านอาหาร รวมถึงออนเซ็นให้นักท่องเที่ยวที่เหนื่อยล้าจากการเล่นสกีมาผ่อนคลายกล้ามเนื้อกันด้วย
อะดาตาระ สโนว์ รีสอร์ท เปิดให้บริการเฉพาะช่วงฤดูหนาวตั้งแต่เดือนธันวาคม – เดือนเมษายน สำหรับผู้ใหญ่เสียค่าเข้า 3,200 เยน นักเรียนมัธยม 2,800 เยน และเด็กประถม 850 เยน ค่าเช่าอุปกรณ์สกี สโนว์บอร์ดและเสื้อผ้า 3,100 เยน
การเดินทางจากโตเกียว เพื่อนๆสามารถนั่งรถไฟสาย โทโฮคุ ชินคันเซ็น ที่สถานีรถไฟโตเกียวแล้วลงที่สถานีรถไฟ JR โคริยะมะ ต่อด้วยรถชัตเติลบัสของทางสกีรีสอร์ท ใช้เวลาประมาณ 80 นาที

10. ปราสาทริกะจัง (リカちゃんキャッスル)


ริกะจัง หรือ ริกะ คายามะ ตุ๊กตาเด็กผู้หญิงที่ถ้าหากเอ่ยปากถามคนญี่ปุ่นแล้ว ไม่มีใครไม่รู้จักแน่นอน หรือที่บ้านเราเรียกกันว่าตุ๊กตาบาร์บี้ แต่เป็นเวอร์ชั่นญี่ปุ่นนั่นเอง ซึ่งออกวางขายในปี ค.ศ.1967 จนกลายเป็นที่นิยมของเด็กๆชาวญี่ปุ่นจนถึงปัจจุบัน ที่สำคัญปราสาทริกะจังแห่งนี้ยังเป็นที่ตั้งของโรงงานที่ผลิตพวกเธออีกด้วย ซึ่งที่นี่ตั้งอยู่ที่เมืองโอโนะ จังหวัดฟุกุชิมะ
ปราสาทริกะจังเปิดให้เข้าชมตั้งแต่เวลา 10.00 – 16.00 น. ผู้ใหญ่ราคา 700 เยน เด็กอายุ 2 ปีขึ้นไป 500 เยน ส่วนเด็กอายุต่ำกว่า 1 ปี เข้าฟรีค่ะ
การเดินทาง เพื่อนๆสามารถเดินจากสถานี โอโนะ ชินมาชิ ประมาณ 10 นาที บนเส้นทาง JR บันเอ็ทสึ